• ลงทุนหุ้นอเมริกา
  • Posts
  • สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันพุธที่ 13 ส.ค. 2025: เงินเฟ้อ 'ต่ํากว่าคาด'!! ดันหุ้นสหรัฐฯ 'New High'!! โอกาส 'ลดดอกเบี้ย' ก.ย. นี้??

สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันพุธที่ 13 ส.ค. 2025: เงินเฟ้อ 'ต่ํากว่าคาด'!! ดันหุ้นสหรัฐฯ 'New High'!! โอกาส 'ลดดอกเบี้ย' ก.ย. นี้??

เมื่อวานนี้ S&P 500 ปิดตลาดทุบสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง โดยขยับขึ้น +1.13% นับเป็นครั้งที่ 16 ของปีนี้ที่ดัชนีนี้สร้างสถิติสูงสุด ส่วน Nasdaq ก็แรงไม่แพ้กัน พุ่งขึ้น +1.39% และทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นครั้งที่ 19 สำหรับปีนี้ บรรยากาศตลาดค่อนข้างสดใส เพราะข้อมูลเงินเฟ้อประจำเดือนกรกฎาคมออกมาดีกว่าที่คาด นักวิเคราะห์และนักลงทุนจึงมองว่ามีโอกาสสูงถึง 94% ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนทันที

เงินเฟ้อรอบนี้ถือว่าคุมได้ดี โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ 2.7% เท่าเดิม ไม่ได้ปรับตัวขึ้นตามที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะมีผลจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มต่างๆ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสินค้าในหมวดเฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจาก tariff ชัดเจน ราคาขยับเพิ่มอีก 0.7% รองเท้าขึ้น 1.4% และกาแฟพุ่ง 2.3% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งตลาดยังต้องจับตาว่าปัญหา tariff เหล่านี้จะทยอยผลักดันราคาสินค้าในช่วงต่อไปหรือไม่ โดยล่าสุดภาษีนำเข้าสินค้าจากบราซิลเพิ่งเริ่มต้นอีกชุดในเดือนสิงหาคม คาดว่าผลกระทบที่แท้จริงจะยังไม่ชัดเจนในตัวเลขเงินเฟ้อเดือนนี้

ประเด็นที่น่าสนใจคือ แม้อัตราเงินเฟ้อโดยรวมยังไม่แรงมาก แต่บริษัทต่างๆในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจาก Tariff ขณะที่ยังไม่สามารถผลักต้นทุนนี้ต่อไปยังผู้บริโภคได้เต็มที่ ส่งผลให้กำไรของบริษัทถูกบีบลดลง บริษัทบางแห่งอาจต้องเลือกปรับลดชั่วโมงการทำงาน ลดการลงทุน หรือแม้แต่จำใจขึ้นราคาสินค้าในอนาคต

ด้านตลาดพันธบัตร อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น 2 ปี ลดลงเพื่อตอบรับกระแสคาดการณ์ลดดอกเบี้ย ขณะที่พันธบัตรระยะยาวขยับขึ้นเล็กน้อย ส่วนเงินดอลลาร์และทองคำอ่อนค่า เพราะนักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นมากขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศคาดหวังเงินเฟ้อที่ต่ำลงและดอกเบี้ยขาลง

จุดสำคัญที่สุดในสถานการณ์นี้ คือ ตลาดหุ้นปรับขึ้นแรงจากความหวังเรื่องการลดดอกเบี้ย แม้ยังมีความเสี่ยงจากต้นทุน Tariff ที่อาจสะสมเป็นเงินเฟ้อระยะต่อไป ถ้าเงินเฟ้อจาก tariff เริ่มเห็นชัดแล้ว Fed อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนนโยบายอีกครั้ง เพื่อนๆนักลงทุนจึงควรติดตามตัวเลขเงินเฟ้อในอนาคตอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินทิศทางตลาดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น