- ลงทุนหุ้นอเมริกา
- Posts
- สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันศุกร์ที่ 19 ก.ย. 2025: พุ่งยกแผง'!! แต่ทําไม 'หุ้นเล็ก' วิ่งแรงแซงทางโค้ง? สัญญาณกระทิงรอบใหม่?
สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันศุกร์ที่ 19 ก.ย. 2025: พุ่งยกแผง'!! แต่ทําไม 'หุ้นเล็ก' วิ่งแรงแซงทางโค้ง? สัญญาณกระทิงรอบใหม่?

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาทำสถิติสูงสุดใหม่กันอีกครั้งเมื่อวานนี้ หลังจาก Fed ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะดัชนีสำคัญทั้ง Dow Jones เพิ่มขึ้น +0.27%, S&P 500 ปิดบวก +0.48% และ Nasdaq บวกเพิ่มขึ้น +0.94% ทั้ง 3 ดัชนีปิดตลาดที่ระดับสูงสุดใหม่ทั้งหมด ส่วน Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีกลุ่มหุ้นเล็ก ปิดบวก +2.51% ขึ้นไปทำจุดสูงสุดระหว่างวัน และกำลังจะปิดที่ระดับสูงสุดในรอบตั้งแต่ปี 2021 ตลาดปรับตัวขึ้นหลังได้รับอานิสงส์จากการลดดอกเบี้ย 0.25% ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและคริปโตเคอร์เรนซี รวมถึงหุ้นขนาดเล็กที่มีความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ย กลับมาได้รับความสนใจมากขึ้น กลุ่มที่โดดเด่นเมื่อวานนี้จึงเป็นหุ้นขนาดเล็ก หุ้นกลุ่มเสี่ยง และหุ้นที่มีแรงเก็งกำไรสูง ขณะที่หุ้นกลุ่มสินค้าจำเป็นกลับเป็นกลุ่มที่อ่อนตัว
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาก็ช่วยเสริมบรรยากาศเชิงบวก เช่น จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการคนว่างงานลดลงจากสัปดาห์ก่อน และดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจปัจจุบันก็ขยับขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าภาวะเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่งพอสมควร นอกจากนี้ ผลสำรวจภาคธุรกิจในภูมิภาคบางแห่งยังขยายตัว ทำให้นักวิเคราะห์บางรายมองว่าดัชนีภาพรวมอุตสาหกรรม (ISM) ในระดับประเทศก็อาจจะเริ่มขยายตัวในไม่ช้า
โดยรวมแล้ว ช่วงนี้ตลาดดูจะตอบรับดีกับการลดดอกเบี้ย แต่ก็มีสัญญาณว่า Fed อาจไม่รีบลดดอกเบี้ยลงอีกเร็วๆนี้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจยังค่อนข้างดี ความเคลื่อนไหวของตลาดพันธบัตรสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังระวังความไม่แน่นอนเรื่องการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในอนาคต อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปีก็ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 3.57% ขณะที่พันธบัตร 10 ปี ขยับขึ้นเป็น 4.1%
สำหรับสาเหตุที่หุ้นขนาดเล็กพุ่งแรงกว่า เพราะหุ้นกลุ่มนี้ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยและต้นทุนการเงินมากกว่าหุ้นใหญ่ ขณะที่หุ้นเทคโนโลยียังคงทำหน้าที่เป็นหัวขบวนของตลาด โดยมีข่าวบวกจากดีลใหญ่ระหว่าง Nvidia กับ Intel เข้ามาเสริม ฝั่งตลาดตราสารหนี้ Bond Yield กลับมาขึ้นหลังจากลดลงไปก่อนหน้าที่ Fed จะออกข่าวลดดอกเบี้ย โดยรวมแล้ว ตลาดหุ้นตอบรับเชิงบวกต่อการลดดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งมักส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง แต่ก็ต้องจับตาดูทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิดในระยะถัดไป