- ลงทุนหุ้นอเมริกา
- Posts
- สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันพฤหัสฯที่ 21 ส.ค. 2025: หุ้นเทคฯโดนทุบต่อ!! หุ้นปลอดภัยมีแรงซื้อ!! Citi ชี้ 'ตลาดปรับฐาน' เป็นเรื่องปกติ??
สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันพฤหัสฯที่ 21 ส.ค. 2025: หุ้นเทคฯโดนทุบต่อ!! หุ้นปลอดภัยมีแรงซื้อ!! Citi ชี้ 'ตลาดปรับฐาน' เป็นเรื่องปกติ??

ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนนี้ยังคงผันผวน โดย Nasdaq ติดลบต่อเนื่อง -0.67% ขณะที่ S&P 500 ลดลงเล็กน้อย -0.24% แต่ Dow Jones กลับบวกเพียงเล็กน้อย +0.04% ถือว่าเกือบแตะระดับปิดสูงสุดของเดือนธันวาคมที่เคยทำไว้ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ก็ลดลงทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยบอนด์ 2 ปีอยู่ที่ 3.74% และบอนด์ 10 ปีใกล้ 4.3%
บรรยากาศการซื้อขายยังคงเหมือนวันก่อนหน้า คือหุ้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เน้นการเติบโต หรือโมเมนตัม เช่น หุ้น AI และเทคโนโลยีที่ยังไม่ทำกำไรจริง กลับถูกขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม หุ้นที่ปลอดภัยกว่า เช่น หุ้นปันผล หรือหุ้นที่ผันผวนน้อย กลับมีแรงซื้ออยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม การเทขายเมื่อวานนี้ถือว่าเริ่มชะลอลงบ้าง เพราะแม้ Nasdaq จะปิดลบ แต่ก็ยังฟื้นจากจุดต่ำสุดระหว่างวัน
นักวิเคราะห์จาก Mizuho อธิบายว่า การร่วงของ Nasdaq มาจากแรงขายทำกำไรในหุ้น AI และกลุ่มที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ได้สะท้อนถึงปัญหาเชิงพื้นฐานใหม่ แต่เป็นผลจากภาวะ “หมุนเงินลงทุน” ที่เริ่มตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ประกอบกับเดือนสิงหาคมซึ่งปริมาณการซื้อขายโดยรวมเบาบางอยู่แล้ว ทำให้แม้แรงขายเพียงเล็กน้อยในหุ้นที่คนถือกันเยอะ ก็สามารถสร้างความผันผวนได้มาก
ด้านนักกลยุทธ์จาก Citi เสริมว่า นักลงทุนหลายคนตั้งคำถามถึงสาเหตุการปรับฐาน แต่การปรับลงระดับ 5% ถือเป็นเรื่องปกติของวงจรตลาด และไม่จำเป็นต้องมีเหตุการณ์ชัดเจนมากระตุ้น แต่ถ้าลงแรงถึง 10% จะต้องมี “ตัวกระตุ้น” ที่สำคัญ ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นปัจจัยนั้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่ต้องจับตาคือผลประกอบการของไตรมาส 3 และ 4 โดยเฉพาะถ้าหุ้น AI ทำได้แย่กว่าคาด หรือผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าหนักกว่าที่เคยเจอในไตรมาสก่อน
สรุปคือ ภาพรวมครึ่งปีหลังยังเป็นบวก แต่ต้องพร้อมรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น และถ้ามีการปรับฐานแรง ก็อาจเป็นโอกาสเข้าซื้อเพิ่มมากกว่าที่จะต้องตื่นตระหนก
แรงขายใน Nasdaq ไม่ได้สะท้อนปัญหาใหม่ แต่เป็นการหมุนเวียนเงินลงทุน โดยเฉพาะจากหุ้น AI ที่ราคาขึ้นแรงมาก่อนหน้า ตลาดกำลังอยู่ในช่วงผันผวนตามปกติ และสิ่งที่ต้องจับตาคือ ผลประกอบการในช่วงต่อไป ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางที่แท้จริง มากกว่าความผันผวนระยะสั้นในตอนนี้