• ลงทุนหุ้นอเมริกา
  • Posts
  • สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันพุธที่ 23 เม.ย. 2025: "ทรัมป์"กลับลํา! หุ้นพุ่งแรง! ความหวัง "ศึกภาษี" อยู่ที่การเจรจา!!

สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันพุธที่ 23 เม.ย. 2025: "ทรัมป์"กลับลํา! หุ้นพุ่งแรง! ความหวัง "ศึกภาษี" อยู่ที่การเจรจา!!

ช่วงนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯผันผวนหนัก เพราะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ดุเดือดสุดๆ หลังทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงถึง 145% แล้วจีนก็สวนกลับด้วยภาษี 125% ใส่สินค้าสหรัฐฯทันที เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างกดดันกันสุดตัว จนหลายคนมองว่าสถานการณ์นี้แทบจะปิดประตูการค้าระหว่างสองประเทศไปเลย

ทำให้ตลาดหุ้น S&P 500 ร่วงไปกว่า -8% ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่พอเมื่อวานนี้ ทรัมป์ออกมาพูดในเชิงอ่อนลง บอกว่าภาษี 145% นั้นเป็นแค่ตัวเลขตั้งต้น เดี๋ยวจะลดลง “เยอะมาก” ถ้าเจรจากันได้สำเร็จ แต่ก็จะไม่ลดเหลือศูนย์ ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯเด้งกลับแรงทันที โดย Dow Jones ปิดบวก +2.66% ขณะที่ S&P500 เพิ่มขึ้น +2.51% และ Nasdaq พุ่งขึ้น +2.71%

ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ Scott Bessent ก็ออกมาบอกว่าสถานการณ์แบบนี้ “อยู่ไม่ได้” ทั้งสองฝ่ายเองก็รู้ดีว่าหากปล่อยให้ภาษีสูงขนาดนี้ต่อไป เศรษฐกิจจะเสียหายกันหมด ไม่มีใครได้ประโยชน์ และเป้าหมายของสหรัฐฯ ก็ไม่ใช่การตัดขาดกับจีน แต่ต้องการให้จีนเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ หันมาบริโภคในประเทศมากขึ้น ส่วนสหรัฐฯ ก็จะเน้นการผลิตในประเทศให้มากขึ้นเหมือนกัน แต่การเจรจาน่าจะ “ยาวนานและเหนื่อย” เพราะยังไม่มีสัญญาณว่าทั้งสองฝ่ายจะเริ่มคุยกันจริงจังในเร็วๆนี้

ฝั่งทำเนียบขาวเองก็ออกมาบอกว่า ตอนนี้มีข้อเสนอจาก 18 ประเทศเข้ามาให้ทีมงานพิจารณา และกำลังประชุมกับอีก 34 ประเทศในสัปดาห์นี้ เพื่อหาทางออกเรื่องภาษีการค้า ไม่ใช่แค่กับจีน แต่กับคู่ค้าสำคัญอื่นๆ อย่าง EU ญี่ปุ่น อินเดียด้วย ซึ่งนักลงทุนก็กังวลว่าถ้าการเจรจายืดเยื้อ อาจกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ทรัมป์เองก็เปลี่ยนโทนมาเป็น “จะไม่เล่นบทโหดกับจีน” พร้อมบอกว่าจะคุยกันอย่างเป็นมิตร และสุดท้ายจีนก็ต้องตกลง เพราะถ้าไม่ตกลง สหรัฐฯ จะเป็นฝ่ายกำหนดเงื่อนไขเอง ซึ่งก็สะท้อนว่าทรัมป์ยังมั่นใจในอำนาจต่อรองของสหรัฐฯอยู่มาก

ช่วงนี้ตลาดจะยังผันผวนต่อเนื่อง เพราะการเจรจาน่าจะกินเวลานานกว่าที่ตลาดคาดไว้ แม้จะมีสัญญาณบวกว่าภาษีอาจจะลดลงในอนาคต แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน เพื่อนๆนักลงทุนควรจับตาท่าทีของทั้งสองฝ่ายอย่างใกล้ชิด และเตรียมรับมือกับความผันผวนระยะสั้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูง ส่วนระยะยาว ถ้าการเจรจาสำเร็จจริง น่าจะเป็นผลบวกกับตลาดหุ้นทั่วโลกและเศรษฐกิจโดยรวม