สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันอังคารที่ 28 ต.ค. 2025: MSFT ทะลุ $4ล้านล้าน!! "Mag 7" แบกตลาด!! ลุ้นคําพูด Fed ชี้ชะตา!?

ช่วงนี้หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทอย่าง Microsoft และ Nvidia มีบทบาทโดดเด่นที่สุด Microsoft เพิ่งก้าวเข้าสู่กลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าตลาดแตะ $4 ล้านล้านเป็นรายล่าสุด ขณะที่ Nvidia ซึ่งถูกมองว่าเป็น “ราชา AI” ก็พุ่งทะลุ $4.8 ล้านล้าน กลายเป็นบริษัทที่น่าจับตามองที่สุดในกลุ่มเทคฯ

ตลาด Nasdaq ซึ่งรวมบริษัทเทคโนโลยีมากที่สุดในสหรัฐฯ ปิดตลาดทำสถิติสูงสุดใหม่ถึง 35 ครั้งในปีนี้ โดยปิดบวก +0.80% ส่วน S&P 500 และ Dow Jones เพิ่มขึ้น +0.23% และ +0.34% ตามลำดับ โดยปิดที่ระดับสูงสุดเช่นกันในรอบปี สะท้อนความคึกคักของหุ้นเทคฯ แม้หุ้นใน S&P 500 ราว 70% จะติดลบในวันนี้ และ 8 จาก 11 กลุ่มธุรกิจในดัชนีนี้อยู่ในแดนลบ มีแค่กลุ่มเทคโนโลยีที่บวกถึง 2% แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของกลุ่มนี้อย่างชัดเจน

กองทุน ETF ที่ชื่อว่า Roundhill Magnificent Seven ซึ่งรวมหุ้นใหญ่อย่าง Apple, Nvidia ก็เพิ่มขึ้น +1.32% ตามไปด้วย อีกหนึ่งไฮไลต์คือหุ้น Apple ที่แม้จะทะลุ $4 ล้านล้านในวันเดียวกันได้ แต่ก็ปิดไม่ถึงระดับดังกล่าวได้สำเร็จ

นักวิเคราะห์ในตลาดกำลังจับตาว่า ความตื่นตัวนี้อาจถูกทดสอบอีกครั้ง เพราะถัดจากนี้ Microsoft, Meta Platforms และ Alphabet จะประกาศงบการเงิน โดยมีผลต่อทิศทางตลาดอย่างมาก นอกจากนี้ยังต้องฟังการแถลงของประธาน Fed ในประเด็นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะมีการลดดอกเบี้ย

ด้าน Charles Schwab ชี้ว่า นักลงทุนกำลังอยู่บนหลังม้าป่าอย่างแท้จริง ต้องคอยระวังว่าผลลัพธ์จาก Fed และคำพูดของประธาน Powell อาจทำให้ตลาดแปรปรวน โดยเฉพาะถ้าน้ำเสียงออกมาเชิงระมัดระวังเกินคาด จุดเสี่ยงสำคัญคือ หาก Fed ลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดไว้ อาจทำให้หุ้นบางกลุ่มไม่ได้รับแรงสนับสนุนเหมือนเดิม ขณะที่อีกเรื่องคือเงินลงทุนในตลาดกระจุกตัวอยู่ที่หุ้นเทคโนโลยี จึงเสี่ยงหากหุ้นกลุ่มนี้เกิดปรับตัวลดลงพร้อมกัน

หุ้น Apple, Amazon, Alphabet, Meta Platforms, Microsoft, Nvidia และ Tesla หรือที่เรียกว่า “Mag 7” เพิ่มมูลค่าตลาดรวม $1.25 ล้านล้าน ในช่วง 4 วันที่ผ่านมา ตอนนี้ทั้งเจ็ดบริษัทมีมูลค่ารวมถึง $22.01 ล้านล้าน

หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่สร้างแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่นักลงทุนอาจต้องระวังความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหุ้นกลุ่มเดียว และควรจับตาดูทั้งงบการเงินของบริษัทยักษ์และนโยบายดอกเบี้ยจาก Fed ที่อาจมีผลต่อราคาหุ้นอย่างมาก