- ลงทุนหุ้นอเมริกา
- Posts
- สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันอังคารที่ 4 พ.ย. 2025: "ฟองสบู่ AI" แตก?? แบงก์ใหญ่เตือน "พักฐาน"!! หุ้นเทคฯ "แพง" เกินจริง!!
สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันอังคารที่ 4 พ.ย. 2025: "ฟองสบู่ AI" แตก?? แบงก์ใหญ่เตือน "พักฐาน"!! หุ้นเทคฯ "แพง" เกินจริง!!

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ มีแรงเทขายหุ้นเทคโนโลยี ทำให้ S&P 500 ตก -1.17% และ Nasdaq ลดลง -2.04% ซึ่งเป็นการร่วงแรงที่สุดในรอบเกือบ 1 เดือน ส่วน Dow Jones ก็ลดลง -0.53% ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา S&P 500 เพิ่งลงแรงแบบนี้แค่ 3 ครั้งเอง ส่วน Nasdaq ก็ลงแรงแบบนี้เป็นครั้งที่ 6 แล้ว แปลว่าตลาดเริ่มกังวลหนัก โดยเฉพาะหลังจากที่หุ้นเทคโนโลยี ซึ่งเคยพาตลาดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ถูกขายออกไปเยอะ
แรงกดดันรอบนี้เริ่มจากหุ้น Palantir Technologies ซึ่งแม้ผลประกอบการจะดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แต่ราคาที่วิ่งแรงมาก่อนหน้านี้กลับส่งผลให้เกิดแรงขายทำกำไร นักลงทุนกังวลว่าราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลายตัวที่โตตามกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) นั้น “แพงเกินจริง” เมื่อเทียบกับแนวโน้มรายได้ บริษัทเทคฯอย่าง Nvidia, Alphabet (Google) และ Microsoft ก็ลดลงตามไปด้วย นักลงทุนจึงเริ่มระแวงว่าราคาหุ้นที่สูงมากอาจรับความเสี่ยงไว้มากเกินไป ทำให้มีการลดความเสี่ยงหรือ de-risking ลงในสินทรัพย์ที่ถูกมองว่าเก็งกำไรเกินจริง
นอกจากนั้น ผู้บริหารธนาคารใหญ่ทั้ง Morgan Stanley และ Goldman Sachs ออกมาให้สัมภาษณ์ว่ายุคหุ้นขึ้นตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา อาจทำให้ตลาดพร้อมสำหรับการ “พักฐาน” หรือการรีบาวด์ระยะสั้น เพราะความสำเร็จติดต่อกันหลายเดือนเป็นสัญญาณให้เกิดการขายทำกำไร ตลาดจึงเกิดความกลัวฟองสบู่ (bubble) โดยเฉพาะกับหุ้นที่เติบโตมาแรงเกินพื้นฐาน หลังจากนี้นักลงทุนเริ่มอ่อนไหวต่อข่าวร้ายและผลประกอบการที่ไม่น่าประทับใจ
ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลก็ลดลง โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปีเหลือ 3.58% และ 10 ปีอยู่ที่ 4.09% บ่งชี้ว่านักลงทุนเลือกถือเงินสดหรือสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้นแทนหุ้น หลังตลาดมีทิศทาง “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” หรือ risk-off
รอบนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับฐาน เพราะกำไรจริงของบริษัทเทคฯไม่ “สมบูรณ์แบบ” เหมือนราคาหุ้นที่พุ่งสูง นักลงทุนจึงเริ่มขายเพื่อลดความเสี่ยง นักลงทุนควรจับตาความผันผวนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและ AI เพราะหากตลาดยังไม่เห็นผลดำเนินงานที่โดดเด่นกว่านี้ อาจเกิดปรากฏการณ์ “เทขายทำกำไร” ต่อเนื่องได้ ขณะเดียวกันการกระจายพอร์ตและ All-in ในหุ้นกลุ่มเดียว ก็น่าจะช่วยลดความเสี่ยงในภาวะตลาดที่เปราะบางเช่นนี้