• ลงทุนหุ้นอเมริกา
  • Posts
  • สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันพฤหัสฯที่ 7 ส.ค. 2025: ตลาดกระทิง? เมื่อหุ้น 'ของจําเป็น' vs 'ของฟุ่มเฟือย' กอดคอกันพุ่ง!! บอกอะไรนักลงทุน?

สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันพฤหัสฯที่ 7 ส.ค. 2025: ตลาดกระทิง? เมื่อหุ้น 'ของจําเป็น' vs 'ของฟุ่มเฟือย' กอดคอกันพุ่ง!! บอกอะไรนักลงทุน?

เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐดูคึกคักเป็นพิเศษ เพราะหุ้นเทคโนโลยีกลับมาได้รับความสนใจ รวมถึง Apple ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวนี้ ทำให้ Nasdaq ขึ้นแรง +1.21% ปิดเกือบแตะสถิติสูงสุดใหม่ ส่วน S&P 500 ก็ขยับขึ้นใกล้จุดสูงสุด +0.73% ด้าน Dow Jones ก็บวกเล็กน้อย +0.18%

โดยปกติแล้ว หุ้นกลุ่มสินค้าจำเป็น (consumer staples) เช่น Walmart, Target, Kroger หรือ Costco กับหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (consumer discretionary) อย่าง Amazon, Tesla และ McDonald's มักจะเดินสวนทางกัน สำหรับนักลงทุน ตลาดมองว่ากลุ่มแรกเป็นของจำเป็น ส่วนกลุ่มหลังเป็นสินค้าอยากได้ เพราะฉะนั้น เวลาตลาดปรับขึ้นพร้อมกันทั้งสองกลุ่มจึงถือว่าไม่ค่อยเกิดขึ้น

แต่ล่าสุด เมื่อวานนี้ หุ้นกลุ่มฟุ่มเฟือยใน S&P ปรับขึ้น 2.3% ส่วนกลุ่มจำเป็นขึ้น 1.9% ซึ่งเป็นเพียงครั้งที่สองของปีนี้ ที่ทั้งสองกลุ่มนำดัชนีขึ้นมาพร้อมกัน

ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนรอบนี้ มาจากผลประกอบการและความเคลื่อนไหวในกลุ่มค้าปลีกและเทคโนโลยี เช่น McDonald's, Tesla และ Amazon ช่วยดันกลุ่มฟุ่มเฟือย ส่วน Walmart, Target, Kroger และ Costco หนุนหุ้นกลุ่มจำเป็น ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของ McDonald's ออกมาดีกว่าคาดการณ์ รายงานยอดขายสาขาเดิมทั่วโลกเติบโต 3.8% แม้ก่อนหน้านี้ไตรมาสแรกจะติดลบในสหรัฐ แต่รอบนี้กลับมาโตอีกครั้ง ส่งผลให้ราคาหุ้นดีดตัวขึ้น ขณะที่ Walmart, Target, Kroger และ Costco ถือเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน เพราะคนยังจำเป็นต้องซื้ออาหารและของใช้ทั่วไป

กลุ่มเทคโนโลยีอย่าง Amazon และ Tesla ก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันตลาดในช่วงนี้ ด้วยแรงบวกจากผลประกอบการและการเติบโตของธุรกิจใหม่ๆ แม้จะเจอแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่ยังผันผวนอยู่

รอบนี้การที่หุ้นสองกลุ่มตรงข้ามขึ้นพร้อมกันสะท้อนถึงความมั่นใจในบริษัทชั้นนำว่าจะสามารถรับมือกับทุกสภาวะเศรษฐกิจได้ ทั้งกลุ่มที่คนจำเป็นต้องซื้อ และกลุ่มที่สะท้อนกำลังซื้อฟุ่มเฟือย ขณะเดียวกัน ตลาดยังให้ความสำคัญกับผลประกอบการที่ออกมาดีในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน จุดที่ควรจับตาคือต่อไปนี้ หากทั้งสองกลุ่มยังไปด้วยกันได้ แปลว่าแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจอาจมาจากปัจจัยเจาะจงรายบริษัทมากกว่าปัจจัยมหภาคในวงกว้าง ทำให้การเลือกลงทุนต้องใส่ใจในรายละเอียดของแต่ละบริษัทมากขึ้น