- ลงทุนหุ้นอเมริกา
- Posts
- สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันพุธที่ 8 ต.ค. 2025: S&P 500 ทุบ 'สถิติใหม่' ครั้งที่ 33!! หุ้นเทคฯ นําตลาด.. สวนทางหุ้นคุณค่า!!
สรุปตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันพุธที่ 8 ต.ค. 2025: S&P 500 ทุบ 'สถิติใหม่' ครั้งที่ 33!! หุ้นเทคฯ นําตลาด.. สวนทางหุ้นคุณค่า!!

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวานนี้กลับมาคึกคักหลังจากหยุดพักชั่วคราว โดย S&P 500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดใหม่อีกครั้ง แม้ว่ารัฐบาลยังอยู่ในช่วงชัตดาวน์เข้าสู่สัปดาห์ที่สองก็ตาม S&P 500 ปรับขึ้น +0.58% ขณะ Nasdaq เพิ่มขึ้น +1.12% ถือว่าปีนี้ S&P 500 ทำสถิติสูงสุดปิดตลาดเป็นครั้งที่ 33 ส่วน Nasdaq ปิดสูงสุดเป็นครั้งที่ 32 ขณะที่ Dow Jones แทบไม่ขยับ
ด้านผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี อยู่ที่ 3.58% และ 10 ปี อยู่ที่ 4.13% สะท้อนภาพว่าตลาดยังมีความต้องการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง
หุ้นกลุ่มที่ถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูง รวมถึงหุ้นกลุ่มเติบโต กลุ่มโมเมนตัม และหุ้นขนาดเล็กโดดเด่นเป็นพิเศษ ส่วนหุ้นกลุ่มปันผลสูง หุ้นคุณค่า (หุ้นดีราคาถูก) และหุ้นความผันผวนต่ำ กลับอ่อนแรงกว่า ตัวอย่างเช่น กลุ่มพลังงาน อสังหาอิมทรัพย์ และสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐานที่อยู่ในกลุ่ม S&P ร่วงลง ทำให้ Dow Jones ไม่ได้ตามเทรนด์ดัชนีหลักตัวอื่น
แม้บางฝ่ายจะเตือนเรื่องภาวะตลาดหุ้นฟองสบู่ แต่หุ้นเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ก็ยังวิ่งแรงอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลชัตดาวน์เองก็มีผลทางอ้อมต่อตลาด เพราะทำให้ไม่มีการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจที่จะมาขัดแย้งมุมมองเชิงบวกที่ตลาดคาดว่าดอกเบี้ยจะปรับลดและเศรษฐกิจยังรับแรงกดดันได้
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดยังมีความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจยุโรป นโยบายญี่ปุ่น และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ยังขาดความชัดเจนเพราะไม่ได้ประกาศระหว่างชัตดาวน์
การประชุม Fed ที่ผ่านมา รายงานการประชุมไม่ได้เปลี่ยนภาพรวมตลาดมากนัก นักลงทุนส่วนใหญ่ให้น้ำหนักไปทางมีโอกาส 77.6% ที่จะลดดอกเบี้ยรวมกัน 0.5% ภายในสิ้นปีนี้ หรืออาจลดอีกหนึ่งครั้ง 0.25% ส่วนโอกาสที่จะไม่ลดดอกเบี้ยเหลือเพียง 1.2% เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าตลาดกำลังกลับมามีความเสี่ยงอีกครั้งหลังจากชะลอตัวชั่วคราว โดยกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นที่อิงกับโมเมนตัมกลับมาสร้างจุดสูงสุด ในขณะที่ความไม่แน่นอนจากรัฐบาลชัตดาวน์กลับกลายเป็นปัจจัยที่ตลาดเลือกจะมองข้าม สิ่งสำคัญที่ต้องจับตาต่อจากนี้คือ ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ว่าจะเอื้อให้ตลาดหุ้นไปต่อได้อีกแค่ไหน ท่ามกลางความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลกที่สลับซับซ้อน