"ภาษี" และ "AI" โลกกําลังหมุนไปทางไหน? ในวันที่การลงทุนไม่เหมือนเดิม!

มีคำถามน่าสนใจถามผมเข้ามาเกี่ยวกับเรื่อง ”กำแพงภาษี”, “ความเชื่อมั่น” ของนักลงทุน แล้วก็ความเสี่ยงที่ตลาดอาจจะ “ปรับฐาน” ในระยะสั้นๆ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ตลาดดูแข็งแกร่ง แต่จริงๆแล้วกำลังปิดบังความเปราะบางอะไรไว้ก่อนที่ผลประกอบการไตรมาส 2 จะออกมาหรือเปล่า?

สำหรับเรื่องนี้ ผมมองแบบนี้ คือโลกเราคงไม่กลับไปเหมือนยุคก่อนที่จะมีกำแพงภาษีแล้ว เพราะตอนนี้มันมีอัตราภาษีพื้นฐานประมาณ 12-15% ซึ่งเป็นเหมือนภาษีที่เก็บกับระบบซัพพลายเชนทั่วโลกไปแล้ว

ในระยะสั้น มันอาจจะทำให้ของถูกลงหน่อยเพราะคนชะลอการซื้อ แต่ในระยะยาว ของจะแพงขึ้นเพราะต้นทุนสูงขึ้น การที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง และนักลงทุนมืออาชีพถือเงินสดกันเยอะ (ตามข้อมูลจาก NAAIM) ก็สะท้อนถึงความไม่แน่นอน ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่า การที่ตลาดขึ้นมาแรงๆช่วงนี้ เหมือนเป็นการซื้อขายตามกระแสเงินที่ไหลเข้ามามากกว่า ไม่ได้สะท้อนความแข็งแกร่งของกำไรจริงๆ

ทีนี้ถ้ามองไปที่บทบาทของ AI ในระยะสั้น AI จะเป็นเหมือนลมใต้ปีกที่ช่วยให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นเยอะมาก เพราะช่วยลดต้นทุนได้มหาศาล ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ และจะทำให้เกิดปรากฏการณ์กำไรพุ่งแรงเกินคาดในกลุ่มอุตสาหกรรมที่นำ AI มาปรับใช้ได้ดี แต่ในระยะยาว ประสิทธิภาพของ AI ที่ว่า ก็จะทำให้คนตกงานเป็นล้านๆตำแหน่ง และทำให้กำลังซื้อในหลายๆ ส่วนของเศรษฐกิจหายไป ตอนนั้นแหละที่ภาวะเงินฝืดมันจะลามไปทั้งระบบ

ผมเชื่อจริงๆว่า เราจะได้เห็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย และมันอาจจะจบลงด้วยการที่รัฐอาจจะต้องมีโครงการที่ให้เงินประชาชนทุกคนใช้เป็นรายได้ขั้นพื้นฐาน เพื่อรองรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังไม่ได้เทขายหุ้นทั้งหมด ผมยังเลือกที่จะลงทุนระยะยาวในหุ้นที่ผมเรียกว่า "ผู้อยู่รอดจาก AI" คือ บริษัทที่ยังสามารถเติบโตฝ่าความผันผวนไปได้ และสร้างความได้เปรียบที่ยั่งยืน ในวันที่กฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจมันเปลี่ยนไป