- ลงทุนหุ้นอเมริกา
- Posts
- ทําไมนักลงทุน 'แห่ซื้อ' AMD !? ดันหุ้นเด้งแรง +8% เมื่อวานนี้??
ทําไมนักลงทุน 'แห่ซื้อ' AMD !? ดันหุ้นเด้งแรง +8% เมื่อวานนี้??
AMD หุ้นขึ้นแรง +8.81% ในวันเดียว เพราะมีข่าวดีหลายอย่างเข้ามาพร้อมกัน เริ่มจากงานใหญ่ “Advancing AI” ที่ AMD จัดเมื่อสัปดาห์ก่อน เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ Instinct MI350 ซีรีส์ ที่เคลมว่าประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นเดิมถึง 4 เท่า และยังประหยัดต้นทุนมากขึ้น เหมาะกับงาน AI สุดๆ และมีแผนเปิดตัว MI400 ในปี 2026 พร้อมแพลตฟอร์ม Helios ที่เป็นโซลูชันระดับ rack-scale สำหรับศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้ตลาดเห็นว่า AMD เอาจริงกับตลาด AI และพร้อมชนกับเจ้าตลาดอย่าง Nvidia มากขึ้น
นักวิเคราะห์จาก Piper Sandler เห็นความคืบหน้านี้ เลยอัพเป้าราคา AMD ขึ้นจาก $125 เป็น $140 พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อ” เพราะเชื่อว่าชิปใหม่จะช่วยให้รายได้จากกลุ่มศูนย์ข้อมูล กลับมาฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากไตรมาสก่อนๆ รายได้ส่วนนี้ตกลงไปบ้าง นอกจากนี้ยังเริ่มเห็นสัญญาณบวกจากตลาด PC ที่เป็นธุรกิจหลักเดิมของ AMD ด้วย เพราะคอมพิวเตอร์ที่หลายคนซื้อไว้ช่วงโควิดเริ่มเก่าแล้ว บวกกับตอนนี้มีฟีเจอร์ AI ใหม่ๆ และ Windows 10 กำลังจะหมดอายุ หลายคนเลยต้องซื้อคอมใหม่เพื่ออัปเกรดเป็นเวอร์ชันล่าสุด
นอกจากงานเปิดตัวชิป ยังมีข่าวลือว่า AMD อาจจะประกาศดีลใหญ่กับ Amazon Web Services เร็วๆนี้ เพราะ AWS เป็นสปอนเซอร์หลักในงาน Advancing AI ด้วย แถม AMD ยังเดินเกมรุกด้วยการจับมือพันธมิตรใหม่ๆ ระดับโลก, ซื้อกิจการเกี่ยวกับ AI เพิ่มเติม, และเน้นสร้าง ecosystem แบบเปิดเพื่อดึงดูดลูกค้าองค์กรที่ไม่อยากผูกขาดกับเจ้าตลาดเจ้าเดียว
แรงซื้อในตลาดก็ชัดเจนมาก วันเดียวปริมาณซื้อขายหุ้น AMD พุ่งขึ้นเป็นสองเท่าจากค่าเฉลี่ย สะท้อนว่าทั้งนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อยเชื่อมั่นในอนาคตของบริษัท ถึงแม้ AMD จะยังมีคำถามว่า จะสู้ Nvidia ได้แค่ไหนในตลาด AI ที่แข่งขันดุเดือด และต้องระวังเรื่องกฎควบคุมการส่งออกชิป แต่ก็เห็นชัดว่าตลาดเริ่มเชื่อว่า AMD มีโอกาสแย่งส่วนแบ่งตลาดได้จริงในปีหน้า
การที่ AMD กล้าประกาศนวัตกรรมชัดเจนแบบนี้ คือสัญญาณดีว่าบริษัทไม่ยอมเป็นผู้ตามอีกต่อไป แต่จะขยับขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาด AI ให้ได้ ถ้าทำได้ตามแผน รายได้และกำไรจะโตแบบก้าวกระโดด แต่ถ้าสะดุดเรื่องเทคโนโลยีหรือคู่แข่งออกของใหม่เร็วกว่า ก็อาจเจอแรงขายแรงได้เหมือนกัน ดังนั้นต้องจับตาดูการส่งมอบสินค้าและดีลกับพาร์ทเนอร์ใหญ่ๆ ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้าให้ดี เพราะจะเป็นตัวชี้วัดว่าความคาดหวังของตลาดจะกลายเป็นความจริงหรือไม่