- ลงทุนหุ้นอเมริกา
- Posts
- ภาษีทําพิษ!! วิเคราะห์ "Coca-Cola vs. PepsiCo" ตัวไหนน่าลงทุนกว่ากัน???
ภาษีทําพิษ!! วิเคราะห์ "Coca-Cola vs. PepsiCo" ตัวไหนน่าลงทุนกว่ากัน???
ถ้าพูดถึงหุ้นเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ที่หลายคนให้ความสนใจ ก็ต้องนึกถึง Coca-Cola (KO) กับ PepsiCo (PEP) โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนเรื่องกำแพงภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง ทีนี้เรามาลองดูกันว่าบริษัทไหนจะดูน่าสนใจกว่ากันในภาวะแบบนี้
ถ้าให้มองภาพรวมตอนนี้ ต้องบอกว่า Coca-Cola หรือ KO เนี่ย ดูจะมีความได้เปรียบอยู่พอสมควรเหตุผลหลักๆ ก็คือ KO ผลิตหัวเชื้อน้ำหวาน ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญ ส่วนใหญ่ในอเมริกาเอง แล้วค่อยส่งออกไปให้พาร์ทเนอร์ผู้ผลิตขวดทั่วโลก นำไปผสมและผลิตเป็นเครื่องดื่มสำเร็จรูปในแต่ละประเทศอีกที นั่นหมายความว่า KO พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศน้อยมาก ทำให้ความเสี่ยงที่จะโดนผลกระทบจากภาษีตอบโต้ก็น้อยลงไปด้วย แถมหัวเชื้อนี่เข้มข้นมาก เวลาขนส่งก็ใช้ปริมาณไม่เยอะ เลยไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไหร่
อีกจุดแข็งของ KO ก็คือโมเดลธุรกิจแบบแฟรนไชส์ที่ให้บริษัทคู่ค้าในแต่ละท้องถิ่นจัดการเรื่องการผลิตและกระจายสินค้าเอง ซึ่งมันมีความยืดหยุ่นสูงมาก ถ้าเกิดปัญหาซัพพลายเชนจากเรื่องภาษีในประเทศไหน ผู้ผลิตท้องถิ่นก็สามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ค่อนข้างเร็ว แล้วต้องบอกว่าธุรกิจขายหัวเชื้อนี่กำไรดีมากๆ เป็นสัดส่วนรายได้หลักของ KO เลยทีเดียว แถมรายได้ส่วนใหญ่ของ KO ก็มาจากอเมริกาเหนือเป็นหลัก ซึ่งก็ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของภาษีในตลาดโลกไปได้อีกเปราะหนึ่ง
ทีนี้ลองหันมาดูทาง PepsiCo (PEP) กันบ้าง PEP มีสินค้าหลากหลายกว่า KO เยอะเลย ไม่ได้มีแค่เครื่องดื่ม แต่ยังมีธุรกิจขนมขบเคี้ยวอีกเพียบ อย่างเช่น เลย์ ชีโตส ทำให้ภาพรวมบริษัทดูใหญ่กว่า มีพนักงานเยอะกว่า รายได้ก็สูงกว่า แต่การที่ธุรกิจใหญ่และซับซ้อนกว่าก็ไม่ได้แปลว่าจะได้เปรียบเสมอไป โดยเฉพาะเรื่องภาษี เพราะเครื่องดื่มหลักๆ ของ PEP ที่ขายในอเมริกา หัวเชื้อส่วนใหญ่กลับต้องนำเข้ามาจากไอร์แลนด์ ซึ่งอยู่ในกลุ่ม EU และตอนนี้ก็โดนกำแพงภาษีไปแล้วเรียบร้อย แล้วธุรกิจเครื่องดื่มก็เป็นสัดส่วนรายได้ที่สำคัญของ PEP
นอกจากนี้ ธุรกิจอาหารและขนมของ PEP ก็ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากหลายสิบประเทศทั่วโลก ทั้งมันฝรั่ง น้ำมัน เครื่องปรุงรส หรือบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ยิ่งทำให้มีความเสี่ยงจากเรื่องภาษีนำเข้าวัตถุดิบจากหลายทางมากขึ้นไปอีก
แต่ถ้าพูดถึงความสามารถในการทำกำไร KO ก็ยังคงโดดเด่นกว่า ทั้งอัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรสุทธิของ KO สูงกว่า PEP อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งตรงนี้สะท้อนว่า KO บริหารจัดการต้นทุนได้มีประสิทธิภาพกว่า และมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าที่ดีกว่านั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ทั้ง KO และ PEP ต่างก็เผชิญกับความท้าทายที่เหมือนกัน นั่นก็คือเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น มองหาเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อย หรือมีส่วนผสมที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อยอดขายน้ำอัดลมแบบดั้งเดิมอยู่บ้างเหมือนกัน บวกกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน ก็อาจจะทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
แต่… KO เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ บริษัทก็พยายามปรับตัวอยู่ตลอด มีการออกแคมเปญการตลาดที่เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะมากขึ้น เช่น Coke Zero หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมในบางภูมิภาคอย่างละตินอเมริกาหรือเอเชีย และยังให้ความสำคัญกับเรื่องราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วย เช่น การออกบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิล ซึ่งก็เริ่มเห็นผลตอบรับในทิศทางที่ดี และที่สำคัญ KO ยังคงคาดการณ์ผลประกอบการสำหรับปี 2025 ไว้เท่าเดิมอีกด้วย
ส่วนทาง PEP ถึงแม้ว่ายอดขายในตลาดต่างประเทศและกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพจะยังเติบโตได้ดีอยู่ แต่โดยรวมแล้ว บริษัทได้ปรับลดคาดการณ์กำไรสำหรับปี 2025 ลง เนื่องจากยังมีความกังวลเรื่องผลกระทบจากกำแพงภาษีและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังดูซบเซาอยู่
สรุปง่ายๆ คือ ในสถานการณ์ที่ประเด็นเรื่องกำแพงภาษียังคงมีความไม่แน่นอนสูงแบบนี้ Coca-Cola ดูจะมีความพร้อมและมีความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจที่ได้เปรียบกว่า PepsiCo อยู่พอสมควร ทั้งในแง่การพึ่งพาการนำเข้าน้อยกว่า ความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ และความสามารถในการทำกำไรที่เหนือกว่า ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมองว่า KO เป็นหุ้นที่น่าสนใจเข้าลงทุน (Strong Buy) ในขณะที่ PEP อาจจะต้องรอดูสถานการณ์ไปก่อน (Hold)