【【 EXCLUSIVE 】】สําหรับผู้ถือหุ้น PFE | เราจะกลับมาแกร่งกว่าเดิม!

สวัสดีครับเพื่อนๆนักลงทุน และผู้ถือหุ้น PFE! วันนี้พามางาน “ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2025” ที่เพิ่งจัดขึ้นเมื่อวันก่อน มีเพื่อนๆหลายคนสงสัยถึงทิศทางอนาคตของ PFE วันนี้เราจะได้รู้กันล่ะครับ CEO อย่างคุณ Albert Bourla มาเองเลย!

Pfizer เป็นบริษัทยายักษ์ใหญ่ของโลกที่เน้นพัฒนาและผลิตยาและวัคซีน โดยมีแผนกวิจัยและพัฒนา R&D ที่แข็งแกร่ง บริษัทมีพอร์ตยาหลากหลาย ยารักษามะเร็ง ยาโรคหัวใจ ไมเกรน วัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ยาในกลุ่มภูมิคุ้มกัน และการอักเสบ เรียกได้ว่าพอร์ตใหญ่และหลากหลาย

สิ่งที่ผู้ถือหุ้นควรทราบ:

1. การเงินยังคงแข็งแกร่ง

  • จ่ายเงินปันผลสูง: บริษัทจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นถึง 9.5 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว การเงินมีความมั่นคง และให้ความสำคัญกับผลตอบแทนผู้ถือหุ้น

  • ลงทุนในวิจัยและพัฒนา: ทุ่มเงินกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อคิดค้นยาและวัคซีนใหม่ๆ ถือเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของบริษัท

  • จัดการหนี้อย่างมีวินัย: ลดหนี้ลง 7.8 พันล้านดอลลาร์ ทำให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยน้อยลง และฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น

  • กำลังปรับโครงสร้างเพื่อลดต้นทุน: ตั้งเป้าอย่างมีแบบแผนอย่างชัดเจนเพื่อการลดต้นทุนการดำเนินงานประมาณ 4.5 พันล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ให้ได้ เพื่อเพิ่มในส่วนของกำไรโดยไม่ต้องขายยาเพิ่ม

2. แผนกลยุทธ์ชัดเจนมากในปีนี้

  • R&D กับเป้าหมายที่ชัดเจน: เน้นวิจัยเฉพาะด้านที่บริษัทเชี่ยวชาญจริงๆ จะไม่กระจายทรัพยากรไปทุกทิศทุกทาง แต่เลือกลงทุนในด้านที่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง

  • เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต: ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง กำไรเพิ่มขึ้น

  • ใช้เงินอย่างรอบคอบขึ้น: จัดสรรเงินทุนให้เหมาะสมระหว่างการวิจัย รวมถึงคำนวนการจ่ายปันผล และการลดหนี้ เพื่อให้มีความสมดุลระหว่างการเติบโตในอนาคต และผลตอบแทนปัจจุบัน

  • ปีแห่งความก้าวหน้า: คาดว่าจะมีความคืบหน้าสำคัญในการพัฒนายาใหม่หลายตัวภายในปีนี้เลย อาทิเช่น

    • ยา 4 ตัว มีโอกาสสูงที่จะได้รับการอนุมัติจาก FDA

    • ผลการทดลองทางคลินิกเฟสสุดท้าย มีถึง 9 โครงการ

    • เริ่มโครงการทดลองยาใหม่ๆ และยาสำคัญ(ตลาดต้องการ) อีกหลายโครงการ

3. ยาหลักยังขายดี พอร์ตยายังแข็งแกร่ง

  • ยารักษามะเร็ง: พัฒนาเทคโนโลยี ADCs (ยาที่พุ่งเป้าทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง) เป็นวิธีการรักษาที่แม่นยำและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าเคมีบำบัดแบบเดิม

  • วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ: ยังคงเป็นผู้นำในวัคซีน Prevnar ที่ป้องกันโรคปอดอักเสบและกำลังขยายไปสู่วัคซีนอื่นๆ สร้างรายได้ต่อเนื่องและมั่นคง

  • ยารักษาไมเกรน: ผลิตภัณฑ์ Nurtec กำลังได้รับความนิยม และกำลังทดสอบสำหรับอาการไมเกรนช่วงมีประจำเดือน ขยายตลาดไปยังกลุ่มผู้ป่วยที่ยังไม่มียารักษาเฉพาะ

  • ยารักษาโรคหัวใจ: ผลิตภัณฑ์ Vyndaqel ช่วยรักษาโรคหัวใจชนิดพิเศษที่เกิดจากการสะสมของโปรตีนผิดปกติ เป็นยาเฉพาะทางที่มีคู่แข่งน้อยมากในตลาดนี้

4. ให้ความสำคัญกับ AI

  • ประยุกต์ใช้ในทุกขั้นตอน: ตอนนี้มีการนำ AI มาใช้ในทุกกระบวนการเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่การค้นหายาใหม่ การพัฒนา การผลิต และการกระจายยา ทำให้ทำงานได้เร็วและแม่นยำขึ้น

  • ประหยัดต้นทุน: ตัวเลขออกมาแล้วว่า ใช้ AI สามารถลดค่าใช้จ่ายได้จริง เพราะลดได้แล้วกว่า 700 ล้านดอลลาร์/ปี เทคโนโลยีไม่ได้แค่ทำให้ทำงานเร็วขึ้น แต่ยังช่วยประหยัดเงินด้วย

  • เป้าหมายต่อไป: ตั้งเป้าเพิ่มการลงทุน AI เป็น 2 พันล้านดอลลาร์ภายในปีหน้า

5. การได้รับการยอมรับจากระดับโลก

  • บริษัทที่น่าชื่นชม: ติด Top 10 ใน Fortune World's Most Admired Companies 3 ปีซ้อน แสดงถึงความน่าเชื่อถือในระดับโลก

  • บริษัทนวัตกรรม: ติด อันดับ 8 ใน Fast Company's Most Innovative Companies ในกลุ่มยาและเภสัชกรรม ยืนยันความสามารถในการสร้างนวัตกรรม

  • การเข้าถึงยา: ติด อันดับ 4 ใน Access to Medicine Index 2024 สำหรับการขยายการเข้าถึงยาในประเทศยากจน แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม

ความเสี่ยง:

1. ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนผลงาน

  • การยอมรับจาก CEO: คุณ Albert ยอมรับความกังวลนี้ตามตรงว่า "ผมเข้าใจความรู้สึกผิดหวังของผู้ถือหุ้นทุกคน และพวกคุณไม่ได้รู้สึกแบบนี้คนเดียว ทีมผู้บริหาร กรรมการบริษัท และพนักงานกว่า 80,000 คนของเราก็รู้สึกเช่นเดียวกัน"

  • มุมมองของผู้บริหาร: คุณ Albert เชื่อว่าราคาหุ้นยังไม่สะท้อนความก้าวหน้าที่บริษัทกำลังทำ แต่แสดงความมั่นใจว่าการเดินหน้าทางกลยุทธ์อย่างมีวินัยจะส่งผลดีต่อราคาหุ้นแน่นอนในอนาคต

  • แผนแก้ไข: ทีมผู้บริหารมุ่งเน้นไปที่การดำเนินการตามกลยุทธ์ที่ชัดเจน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างมูลค่าจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่

2. การสูญเสียสิทธิบัตรยา

  • วัคซีน Prevnar: สิทธิบัตรจะหมดอายุในปีหน้า ซึ่งเป็นความท้าทายมาก เพราะบริษัทเพิ่งเสียสิทธิบัตรยา Lyrica, Lipitor และ Viagra ไปเอง

  • แผนรับมือ: บริษัทลงทุนอย่างหนักใน R&D และได้รับการอนุมัติจาก FDA 7 รายการในปี 2023 รวมถึงเสริมความแข็งแกร่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์มะเร็งด้วยการซื้อกิจการ Seagen ในเดือนธันวาคม 2023 เพื่อทำให้พอร์ตใหญ่ขึ้นและมีตัวแทนรายได้ที่เสียไป

  • ยา Vyndaqel: สิทธิบัตรแรกจะหมดอายุปลายปีนี้ แต่คาดว่าจะได้รับการขยายเวลาไปถึงปี 2028 ในสหรัฐฯ ส่วนในยุโรปจะหมดในปีหน้า

3. การแข่งขันในตลาดยาหลัก

  • ยา Vyndaqel: มียอดขาย $5.4 พันล้านในปี 2024 เพิ่มขึ้น 60% จากปีก่อน มีผู้ป่วยใช้ยานี้ประมาณ 24,000 คน

  • คู่แข่งใหม่: Alnylam และ BridgeBio เข้าสู่ตลาดแล้วในไตรมาส 1 ปี 2025 และกำลังแข่งขันเพื่อแย่งชิงผู้ป่วยที่อาจเปลี่ยนจาก Vyndaqel

  • มุมมองของ CEO: มั่นใจว่าจะรักษา ส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ได้ สำหรับการสั่งจ่ายใหม่ "เพราะเครือข่ายและความเข้าใจของแพทย์ต่อแบรนด์" และมั่นใจว่าแพทย์จะไม่เปลี่ยนยาให้ผู้ป่วย หากยาเดิมกำลังได้ผลดี

  • ผลกระทบทางการเงิน: CFO David Denton ยอมรับว่าการเติบโตของ Vyndaqel จะชะลอตัวเนื่องจากผลกระทบจากนโยบาย IRA และการแข่งขันใหม่ในสหรัฐฯ

4. การจัดสรรเงินทุนและการซื้อหุ้นคืน

  • คำถามจากผู้ถือหุ้น: มีการตั้งคำถามว่าทำไม Pfizer ไม่ทำการซื้อหุ้นคืนเชิงรุกมากขึ้นเพื่อสนับสนุนราคาหุ้นที่ร่วงหนักมาตลอด CEO อธิบายว่าลำดับความสำคัญในปัจจุบันคือ (1) การลงทุนในธุรกิจเพื่อการเติบโตในอนาคต (2) สนับสนุนและเพิ่มเงินปันผล และ (3) ลดหนี้ แต่ก็บอกว่า การซื้อหุ้นคืนยังเป็น "เครื่องมือสำคัญที่เราจะพิจารณาใช้เมื่อเหมาะสม" (แต่ปัจจุบันเน้นการลงทุนเพื่ออนาคตมากกว่า)

คำพูดจาก CEO สะท้อนวิสัยทัศน์

"บริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้ป่วย และมีนวัตกรรมมากมายที่เราตั้งตารอ ไปป์ไลน์การวิจัยและพัฒนายาและวัคซีนใหม่ๆ ที่เรากำลังพัฒนาอยู่นี้ คือหัวใจสำคัญของความสามารถของบริษัทในการขับเคลื่อนผลกระทบเชิงบวกและเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน และส่งผลต่อมูลค่าของผู้ถือหุ้นด้วย ผมภูมิใจในสิ่งที่เราทำสำเร็จในปี 2024 ซึ่งเป็นปีที่มีผลงานด้าน R&D ที่แข็งแกร่ง นอกจากการได้รับอนุมัติยาใหม่ในตลาดหลัก 14 รายการ และยังเริ่มการทดลองสำคัญ 7 รายการและมีผลการทดลอง Phase III ออกมาถึง 8 รายการในปีที่แล้ว ทำให้ผมยิ่งตื่นเต้นกับอนาคตของบริษัท ที่มีโอกาสที่น่าสนใจมากมายที่จะนำเสนอยารักษามะเร็งใหม่ๆ ที่อาจเปลี่ยนโลก รวมถึงวัคซีนและการบำบัดที่อาจช่วยผู้คนนับล้านทั่วโลก"

★𝓐𝓓𝓜𝓘𝓝★ :

ดูจากพื้นฐานและทิศทางอนาคตล่าสุดแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า PFE มีจุดแข็งหลายอย่าง ที่ราคาหุ้นตอนนี้ดูโหดร้ายเกินไปหน่อย แม้จะมีความเสี่ยงอย่างที่ว่ามาก็ตาม เพราะ PFE กำลังเน้นวิจัยและพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเพิ่มอัตรากำไร การใช้ AI และการจัดสรรเงินทุนอย่างเหมาะสม แต่ก็ยังคงแคร์ผู้ถือหุ้นอยู่เหมือนเดิม และจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะรักษาปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างแข็งแกร่งในทุกๆปี การที่หนี้สินลดลงก็ถือเป็นข่าวดี เพราะ 1-2 ปีที่ผ่านมา PFE ลงทุนหนักมากเพื่ออนาคต แต่สิ่งที่ลงทุนมาก็ต้องใช้เวลาปรับโครงสร้างกัน

ผมยังคงแนะนำว่าออมต่อได้ แต่เฉพาะกับเพื่อนๆที่ชอบปันผลสูง มั่นคง รอราคาหุ้นได้ และรับมือกับความผันผวนได้ เพราะน่าจะประมาณ 2-3 ปีข้างหน้า ที่ผ่านช่วงการสูญเสียสิทธิบัตรยาไปหมดแล้ว PFE น่าจะกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง (อย่างไร้ความกังวลที่กดราคาหุ้นเรื่องสิทธิบัตรยาอยู่ในตอนนี้)

📍 แนวรับ : $21 หรือ $20