【【 EXCLUSIVE 】】สําหรับผู้ถือหุ้น PRCT | โอกาสเติบโตสูงมาก!

สวัสดี เพื่อนๆผู้ถือหุ้น PRCT และเพื่อนๆที่กำลังสนใจหุ้นอนาคตหุ้นนี้ครับ นี่คืองานอัพเดทข้อมูลบริษัทสำหรับนักลงทุนล่าสุดจากผู้บริหารฝ่ายการเงิน (CFO) คุณ Kevin Waters

Procept BioRobotics (PRCT) คือบริษัทเทคโนโลยีการแพทย์ ที่พัฒนาและจำหน่ายหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดระบบ AquaBlation ซึ่งใช้เทคโนโลยีพลังน้ำความแม่นยำสูง (waterjet technology) เพื่อรักษาโรคต่อมลูกหมากโต (BPH) โดยมีเป้าหมายเพื่อมอบผลการรักษาที่ดีและลดผลข้างเคียงเมื่อเทียบกับวิธีผ่าตัดแบบดั้งเดิมครับ/ค่ะ

ด้านดีๆที่อยากอัพเดทผู้ถือหุ้น:

  1. การฟื้นตัวและเติบโตที่แข็งแกร่ง (Strong Recovery & Growth):

    • ปัญหาเก่าคลี่คลาย: ถึงแม้ปลายปีที่แล้ว (ไตรมาส 4 ปี 2023) บริษัทจะเจอปัญหาขาดแคลนน้ำเกลือ (Saline) ทำให้ผ่าตัดได้น้อยลงไปบ้าง (ราว 1,000-2,000 เคส) แต่พอเข้าเดือนมกราคม 2024 แม้จะยังติดขัดนิดหน่อย แต่เดือนกุมภาพันธ์กลับมาดีมากๆ และตอนนี้ (กลางมีนาคม) สถานการณ์กลับมาเป็นปกติแล้ว

    • เริ่มต้นปี 2025 ได้สวย: บริษัทมองว่าไตรมาสแรกของปี 2025 จะเป็นไตรมาสที่เห็นการเติบโตชัดเจนจากการเปิดตัวหุ่นยนต์รุ่นใหม่ (Hydros) และมีการติดตั้งเครื่องให้โรงพยาบาลใหม่ๆ เยอะเป็นประวัติการณ์

    • เป้าหมายปี 2025 ทะเยอทะยาน: บริษัทตั้งเป้าว่าจะขายหุ่นยนต์ได้อีก 210 เครื่องในปี 2025 ทำให้สิ้นปีน่าจะมีเครื่องติดตั้งรวมกว่า 700 เครื่องทั่วสหรัฐฯ และคาดว่ารายได้รวมจะเติบโตถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

  2. หุ่นยนต์รุ่นใหม่ "Hydros" ได้รับการตอบรับดี (Positive Hydros Feedback):

    • ฟีเจอร์ AI ช่วยหมอ: ลูกค้า (หมอและโรงพยาบาล) ชอบหุ่นยนต์รุ่นใหม่ Hydros มาก โดยเฉพาะฟีเจอร์ "FirstAssist AI" ที่ช่วยหมอวางแผนและทำการรักษาได้ง่ายขึ้น ซึ่งตอนนี้กว่า 95% ของการใช้ Hydros มีการเปิดใช้ฟีเจอร์ AI นี้

    • ใช้งานง่ายขึ้น: ไม่ใช่แค่หมอ แต่เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล เช่น พยาบาล ก็บอกว่า Hydros ใช้งานง่ายกว่ารุ่นเก่า (AquaBeam) ทำให้ขั้นตอนการเตรียมเครื่องและการทำงานไหลลื่นขึ้น ซึ่งอาจจะช่วยให้ทำเคสได้มากขึ้นในอนาคต

    • คุ้มค่าสำหรับโรงพยาบาล: แม้ราคาเครื่อง Hydros จะสูงกว่า แต่ก็มาพร้อมกับกล้องส่องแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use scope) ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดฆ่าเชื้อไปได้ราว 100-200 ดอลลาร์ต่อเคส ทำให้โรงพยาบาลมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และน่าจะดึงดูดหมอหลายๆ คนในโรงพยาบาลให้หันมาใช้เทคโนโลยีนี้ได้มากขึ้น

  3. การขยายตลาดไปได้ดี (Market Penetration):

    • เจาะได้ทั้ง รพ.ใหญ่และเล็ก: บริษัทไม่ได้ขายเครื่องได้แค่ในโรงพยาบาลใหญ่ๆ ที่ทำเคสเยอะๆ เท่านั้น แต่ยังประสบความสำเร็จในการขายให้โรงพยาบาลขนาดกลางและเล็กด้วย ซึ่งน่าสนใจตรงที่ รพ. เหล่านี้พอมีเครื่อง AquaBlation แล้ว ก็สามารถรักษาคนไข้ต่อมลูกหมากโตของตัวเองได้เลย ไม่ต้องส่งต่อไปที่อื่นเหมือนเมื่อก่อน และมีอัตราการใช้งานเครื่องใกล้เคียงกับ รพ. ใหญ่ๆ เลย

    • โอกาสเติบโตยังมีอีกมาก: ในอเมริกามีโรงพยาบาลที่ทำการผ่าตัดรักษาต่อมลูกหมากโต (แบบที่ PRCT แข่งขันอยู่) ประมาณ 2,700 แห่ง ตอนนี้ PRCT มีเครื่องติดตั้งไปแล้วประมาณ 500 เครื่อง (ณ สิ้นปี 2024) และตั้งเป้าจะเกิน 700 เครื่องในปี 2025 แสดงว่ายังมีโอกาสเติบโต ขยายฐานลูกค้าไปได้อีกเยอะมาก

  4. เส้นทางสู่การทำกำไรชัดเจนขึ้น (Clearer Path to Profitability):

    • กำไรขั้นต้นดีขึ้นมาก: อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ซึ่งบอกว่าบริษัทเหลือกำไรเท่าไหร่หลังหักต้นทุนสินค้าโดยตรง พุ่งขึ้นอย่างชัดเจนในปี 2024 โดยไตรมาส 4 ทำได้ถึง 64% และบริษัทคาดว่าสิ้นปี 2025 จะทำได้ถึง 65-66%

    • ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี: บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operating Expenses) ได้ดี โดยตั้งเป้าให้ค่าใช้จ่ายโตช้ากว่ารายได้ประมาณครึ่งหนึ่ง (เช่น รายได้โต 40% ค่าใช้จ่ายโต 20%) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีมาก

    • ใกล้จุดคุ้มทุน (EBITDA): จากการเติบโตของรายได้และกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ประกอบกับการคุมค่าใช้จ่าย ทำให้บริษัทคาดการณ์ว่าจะถึงจุดคุ้มทุนในระดับกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Breakeven) ได้ประมาณช่วงไตรมาส 4 ของปี 2025 นี้

  5. โอกาสในอนาคต: การรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก (Future Potential: Prostate Cancer):

    • กำลังศึกษาอย่างจริงจัง: บริษัทไม่ได้หยุดแค่การรักษาต่อมลูกหมากโต แต่กำลังศึกษาและทดลองนำเทคโนโลยี AquaBlation ไปใช้ในการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากด้วย

    • เตรียมโชว์ข้อมูล: จะมีการนำเสนอข้อมูลเบื้องต้นด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพจากผู้ป่วย 70 คนในการประชุมวิชาการสำคัญ (AUA) เร็วๆ นี้ ซึ่งน่าจับตามองมาก

    • การทดลองใหญ่ (WATER IV): กำลังดำเนินการทดลองทางคลินิกขนาดใหญ่ (280 คน) โดยเปรียบเทียบการใช้ AquaBlation กับการผ่าตัดแบบมาตรฐาน (Radical Prostatectomy) ซึ่งเป็นการทดลองที่ได้รับการรับรองจาก อย. สหรัฐฯ (FDA) และหากสำเร็จ บริษัทจะขอการรับรอง (Indication) สำหรับ "การรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก" โดยเฉพาะ ซึ่งยังไม่มีเทคโนโลยีอื่นทำได้ (เจ้าอื่นได้แค่การรับรองว่าเป็น 'เครื่องมือ' ตัดเนื้อเยื่อ)

    • กรอบเวลา: คาดว่าการรับผู้ป่วยเข้าร่วมทดลองจะเสร็จสิ้นปลายปี 2026 และอาจจะยื่นขออนุมัติจาก FDA ได้ช่วงปี 2027 และอาจได้รับการอนุมัติช่วงปลายปี 2027 หรือต้นปี 2028 (แต่อาจเร็วกว่านั้นได้ 6-12 เดือน หากบริษัทเร่งลงทุนเพิ่ม)

  6. การเติบโตในต่างประเทศ (International Growth):

    • ตลาดอังกฤษแข็งแกร่ง: ตลาดหลักในต่างประเทศตอนนี้คืออังกฤษ (UK) ซึ่งคิดเป็นกว่า 50% ของยอดขายต่างประเทศในปี 2024 และคาดว่าจะเป็นเช่นนั้นในปี 2025 ด้วย ทั้งยอดขายเครื่องและจำนวนเคสกำลังไปได้ดี

    • เริ่มบุกญี่ปุ่น: ปีนี้จะเริ่มเห็นความคืบหน้าในตลาดญี่ปุ่นมากขึ้น หลังจากติดตั้งเครื่องแรกๆ ไปเมื่อปลายปี 2024 และได้ลงทุนสร้างทีมขายและทีมคลินิกแล้ว ซึ่งญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลทางคลินิกและคุณภาพ ซึ่งเป็นจุดแข็งของ PRCT

ข้อกังวลที่ต้องติดตาม:

  1. ผลกระทบจากปัจจัยภายนอก (Vulnerability to External Factors):

    • บทเรียนจากน้ำเกลือ: เหตุการณ์ขาดแคลนน้ำเกลือในไตรมาส 4 ปี 2023 แสดงให้เห็นว่าธุรกิจอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต (แม้ตอนนี้จะคลี่คลายแล้ว)

  2. ราคาอุปกรณ์สิ้นเปลืองของ Hydros ยังไม่ส่งผลเต็มที่ (Delayed Impact of Hydros Consumable Pricing):

    • ต้องรอปี 2026: ถึงแม้เครื่อง Hydros รุ่นใหม่จะมีราคาอุปกรณ์สิ้นเปลือง (Handpiece) สูงกว่ารุ่นเก่า (AquaBeam) แต่ผลบวกต่อราคาขายเฉลี่ยโดยรวม (ASP) ของอุปกรณ์สิ้นเปลืองจะยังไม่ชัดเจนนักในปี 2025 คาดว่าจะเริ่มเห็นผลจริงๆ ในปี 2026 เนื่องจากเคสส่วนใหญ่ในปี 2025 (ประมาณ 80%) จะยังคงทำด้วยเครื่อง AquaBeam รุ่นเก่าที่ติดตั้งไปแล้วเป็นจำนวนมาก

  3. ยังต้องพึ่งพาพนักงานขายในห้องผ่าตัด (Rep Dependency):

    • ยังอยู่ในทุกเคส: บริษัทยังคงนโยบายให้มีพนักงานขาย (Rep) คอยช่วยเหลือศัลยแพทย์อยู่ในห้องผ่าตัดทุกเคส แม้ผู้บริหารจะบอกว่าสิ่งนี้ไม่ใช่อุปสรรคต่อการทำกำไร แต่ก็ยอมรับว่าในระยะยาว หากต้องการเป็น "มาตรฐานการรักษา" (Standard of Care) จริงๆ หมอควรจะสามารถทำหัตถการได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีคนช่วยตลอดเวลา ซึ่งบริษัทยังแค่ เริ่มคิด ที่จะทดลองเรื่องนี้ในบางโรงพยาบาลช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เท่านั้น

  4. การขยายสู่คลินิกผ่าตัดเล็ก (ASC) ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น (Early Stage of ASC Pilot):

    • ทดลองแค่ 2 แห่ง: การทดลองนำเครื่องไปใช้ในคลินิกผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ (Ambulatory Surgical Centers - ASCs) ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นมากๆ โดยมีเพียง 1 แห่งในสหรัฐฯ และ 1 แห่งในแคนาดา แม้ผลลัพธ์เบื้องต้นจะดี แต่บริษัทยังคงเน้นการบุกตลาดโรงพยาบาลเป็นหลักในปี 2025 การขยายไป ASC จึงยังดูเป็นเรื่องของอนาคตมากกว่า

  5. ไทม์ไลน์สำหรับข้อบ่งชี้รักษามะเร็งยังอีกไกล (Long Timeline for Cancer Indication):

    • ต้องรอผลและเวลา: แม้โอกาสในการใช้ AquaBlation รักษามะเร็งต่อมลูกหมากจะน่าตื่นเต้น แต่กว่าจะได้รับการอนุมัติจาก FDA ก็ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี (เร็วสุดคือปลายปี 2027 หรือต้นปี 2028) และยังต้องขึ้นอยู่กับผลการทดลอง WATER IV ที่จะต้องออกมาดี รวมถึงต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมในการเร่งรัดกระบวนการด้วย

★𝓐𝓓𝓜𝓘𝓝★ :

ฟังจากที่ผู้บริหารเล่าแล้ว ดูน่าสนใจมากครับ บริษัทเน้นเต็มที่เลยกับการขายหุ่นยนต์รุ่นใหม่ Hydros ให้ได้เยอะๆในโรงพยาบาลใหญ่ๆ และเริ่มเจาะโรงพยาบาลขนาดกลาง-เล็กมากขึ้น ซึ่งก็ดูเหมือนจะไปได้สวยด้วย เป้าหมายคือทำให้เครื่อง AquaBlation กลายเป็น “ตัวเลือกหลัก” ที่หมอใช้รักษาต่อมลูกหมากโตให้ได้ เหมือนกับว่าถ้าพูดถึงเรื่องนี้ ต้องนึกถึง PRCT!

แต่ที่ประทับใจที่สุด ก็คือเรื่อง Timeline สำคัญ ว่าบริษัทกำลังเดินหน้าไปสู่การ “ทำกำไร” นะครับ คาดว่าปลายปีนี้น่าจะเริ่มเห็นภาพชัดขึ้นจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นและรายได้ที่เติบโตแรง ถ้าสามารถทำกำไรได้จริงครั้งแรก หุ้นพุ่งแน่นอน!

อีกเรื่องที่ยังไม่คาดหวังแต่ก็หวัง 🙂 ก็คือ… การลองเอาเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับ “มะเร็งต่อมลูกหมาก” ถ้าทำสำเร็จนี่จะเป็นก้าวใหญ่ของบริษัทเลยครับ ผมว่า PRCT กำลังอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง โอกาสลุ้นเติบโตสูง มีเทคโนโลยีใหม่ที่น่าสนใจ และกำลังมุ่งหน้าสู่การทำกำไร พร้อมกับมีโอกาสใหญ่รออยู่ในอนาคตเรื่องมะเร็ง

📍 แนวรับ : ตอนนี้ TF : Week ลงมาสวยมากแล้วนะครับ สัมผัส EMA 200 เรียบร้อยครับ! สามารถเข้าเลย หรือรอ $48 และ $40