- ลงทุนหุ้นอเมริกา
- Posts
- 【【 EXCLUSIVE 】】8 ข้อ วิเคราะห์ไตรมาสล่าสุด สําหรับผู้ถือหุ้น JPM !!
【【 EXCLUSIVE 】】8 ข้อ วิเคราะห์ไตรมาสล่าสุด สําหรับผู้ถือหุ้น JPM !!
★𝓐𝓓𝓜𝓘𝓝★ : สวัสดีผู้ถือหุ้น JPM และเพื่อนๆที่สนใจหุ้นนี้ครับ นี่คือหุ้น ธนาคารอันดับ 1 ของสหรัฐฯ ที่โดยส่วนตัวผมเป็นลูกค้าเขาตั้งแต่มาอยู่อเมริกาใหม่ๆ ยาวจนถึงปัจจุบันนี้เลย และผมก็ออมหุ้นนี้มานานมาก ได้ทั้งกำไรจากราคาหุ้นที่เติบโตและการทบต้นปันผลครับ ผมคิดว่านี่เป็น 1 ในหุ้นที่ควรมีติดพอร์ต! เรามาวิเคราะห์ผลประกอบการล่าสุดกันครับ
1. ทำไมนักลงทุนเข้าช้อนหุ้น JPM หลังประกาศผลประกอบการ?
ผลประกอบการไตรมาส 1 ออกมาแข็งแกร็งมาก กำไรตั้ง $14.6 พันล้านเหรียญ แม้โทนของผู้บริหาร โดยเฉพาะ CEO อย่าง Jamie Dimon ค่อนข้างระมัดระวังเรื่องอนาคตมากๆก็ตาม แต่นักลงทุนก็อดตื่นเต้นกับผลงานรอบนี้ไม่ไหว เพราะ…
กำไรดีเกินคาด: ตัวเลขกำไร (Net Income) กับกำไรต่อหุ้น (EPS) ออกมาสวยเลยครับ โชว์ว่าพื้นฐานตอนนี้ยังแกร่ง
ธุรกิจ Markets ทำได้ดีมาก: โดยเฉพาะฝั่งหุ้น (Equities) ทำรายได้เป็นสถิติใหม่เลย (+48%!) อันนี้เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในไตรมาสนี้
คืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นเยอะ: อันนี้สำคัญมาก! JPM ซื้อหุ้นคืนไป $7.1 พันล้านเหรียญ และยังประกาศ เพิ่มเงินปันผล เป็น $1.40 ต่อหุ้นด้วย นักลงทุนชอบมากเวลาบริษัทคืนกำไรให้แบบนี้
ความเชื่อมั่นในผู้บริหาร: ถึงแม้ Jamie Dimon จะพูดถึงความไม่แน่นอนเยอะ แต่แกก็ย้ำว่า JPM แข็งแกร่งพอที่จะรับมือได้ทุกสถานการณ์ ("We can handle it") ความมั่นใจแบบนี้ทำให้นักลงทุนอุ่นใจได้ครับ
ถือว่าเป็นไตรมาสที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง มีการคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นจุกๆ แถมด้วยความเชื่อมั่นในการฝ่าวิกฤต
2. จัดเต็ม “ข้อดี” และ “ข้อกังวล” ที่ผู้ถือหุ้นต้องรู้
ข้อดี:
ผลประกอบการแข็งแกร่ง: กำไร ($14.6B) รายได้ ($46B) และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROTCE 21%) ถือว่าสูงมากเลยครับ แสดงว่าบริษัทยังทำเงินเก่ง
ธุรกิจ Markets โดดเด่น: โดยเฉพาะฝั่ง Equities (หุ้น) ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (+48%) ช่วยหนุนภาพรวมได้เยอะมาก ส่วน Fixed Income (ตราสารหนี้) ก็ดีขึ้น (+8%)
คืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง: อย่างที่บอกไป ซื้อหุ้นคืนเยอะ ($7.1B) แถมเพิ่มปันผล ($1.40) เป็นสัญญาณที่ดีว่าบริษัทมีเงินสดเหลือและใส่ใจผู้ถือหุ้น
ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (AWM) โตดี: มีเงินไหลเข้าเยอะ ($54B ใน Long-term, $36B ใน Liquidity) สินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) เพิ่มขึ้น 15% เป็น $4.1 ล้านล้านเหรียญ แสดงว่าลูกค้ายังเชื่อมั่นและเอาเงินมาให้บริหาร
ลูกค้าบุคคลยังดูดี (ตามข้อมูล JPM): แม้จะมีข่าวเรื่องเศรษฐกิจ แต่ข้อมูลบัตรเครดิต การใช้จ่าย เงินสดในบัญชีของลูกค้า JPM ยังอยู่ในระดับที่คาดการณ์ไว้ ไม่ได้มีสัญญาณอันตรายชัดเจน
เงินกองทุนแข็งแกร่ง (CET1 Ratio): อยู่ที่ 15.4% สูงกว่าเกณฑ์เยอะมาก เหมือนมีเกราะป้องกันหนา พร้อมรับมือความเสี่ยง
การบริหารจัดการความเสี่ยง: มีการตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่ม ($973 ล้าน) สะท้อนความไม่ประมาท เตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต
ข้อกังวล:
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูงมาก: ผู้บริหารย้ำคำนี้บ่อยมาก ("unusually uncertain") ทั้งเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายภาษี (Tariffs) ที่อาจกระทบลูกค้าองค์กรและเศรษฐกิจโดยรวม Jamie Dimon บอกว่าโอกาสเกิด Recession มีประมาณ 50/50 เลยทีเดียว
NII (รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ) อาจถูกกดดัน: แม้จะคงเป้า NII ex. Markets ไว้ที่ $90B แต่ก็ยอมรับว่าดอกเบี้ยขาลง (ถ้าเกิดขึ้นตามคาดการณ์ตลาด) และการแข่งขันด้านเงินฝาก จะเป็นแรงกดดัน
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น: ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 4% YoY หลักๆ มาจากค่าจ้างพนักงาน (โดยเฉพาะสายเทคฯ และ Front Office) และค่าการตลาด/กฎหมาย แม้จะคงเป้าทั้งปีไว้ แต่ก็ต้องดูว่าจะคุมอยู่ไหม
หนี้เสียบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น (แต่ยังตามคาด): Net charge-offs ของบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น $275 ล้าน YoY แม้จะบอกว่ามาจากลูกค้าเก่าที่เริ่มแสดงอาการตามปกติ (seasoning) และยังอยู่ในกรอบที่คาดไว้ (คาดทั้งปี 3.6%) แต่มันก็คือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และถ้าเศรษฐกิจแย่ลง ตัวเลขนี้อาจพุ่งได้
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: Jamie Dimon พูดเยอะมากเรื่องกฎเกณฑ์ต่างๆ (Basel III, SLR, G-SIFI, CCAR) ที่มองว่ามีข้อบกพร่องและอาจกระทบความสามารถในการทำธุรกิจหรือปล่อยสินเชื่อในอนาคต ยังมีความไม่แน่นอนสูงว่าสุดท้ายกฎจะออกมาเป็นแบบไหน
ลูกค้าองค์กรอาจชะลอการลงทุน: ความไม่แน่นอนต่างๆ ทำให้ลูกค้าองค์กรมีแนวโน้ม "รอดูสถานการณ์" (wait-and-see) อาจชะลอการลงทุน การจ้างงาน หรือดีล M&A ซึ่งจะกระทบรายได้ฝั่ง Investment Banking ได้
3. พื้นฐานหุ้นและสถานการณ์บริษัทตอนนี้เป็นอย่างไร?
ผลประกอบการล่าสุดโดยรวมต้องบอกว่าพื้นฐานยังแข็งแกร่งมากครับ กำไรดี รายได้ดี มีเงินทุนหนา คืนกำไรผู้ถือหุ้นได้เยอะ ธุรกิจหลักๆ ส่วนใหญ่ยังไปได้ดี โดยเฉพาะ Markets และ AWM
แต่ สถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มอนาคต ต้องบอกว่า "มีความท้าทายสูงมาก" ความไม่แน่นอนที่ผู้บริหารพูดถึงมันเป็นเรื่องจริง ทั้งเศรษฐกิจโลก ภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการค้า และกฎระเบียบต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ และอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจธนาคารได้
ผู้ถือหุ้นน่าจะอยากรู้ว่า แล้วยังมีแนวโน้มอนาคตที่ดีไหม? ส่วนตัวผมมองว่า JPM เป็นธนาคารเบอร์ต้นๆ ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของสหรัฐฯ มีขนาดบริษัทที่ใหญ่มากๆ มีความหลากหลายทางธุรกิจ มีผู้บริหารเก่งสุดๆอย่าง Jamie Dimon ที่ได้รับการยอมรับมากอยู่แล้ว และบริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งพอที่จะ "รับมือ" กับความผันผวนต่างๆ ได้ดีกว่าคู่แข่งหลายราย
อนาคตอาจจะไม่ได้ราบรื่นเหมือนช่วงที่ผ่านมา อาจจะเจอช่วงที่กำไรลดลงบ้างถ้าเศรษฐกิจมันกระทบหนักจริงๆ หุ้นอาจจะผันผวนเช่นกัน แต่ถ้ามองในระยะยาว ด้วยความแข็งแกร่งที่เป็นอยู่ JPM น่าจะยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้และผ่านพ้นช่วงเวลาท้าทายไปได้แน่นอนครับ
4. วิเคราะห์พื้นฐานทางบัญชีล่าสุด
สรุปภาพรวมทางบัญชีล่าสุดได้ว่า ยังคงแข็งแกร่งสุดๆ!
จุดเด่น:
เงินกองทุนชั้นที่ 1 (CET1 Ratio) สูงมาก: 15.4% เกินเกณฑ์ไปเยอะ แสดงว่ามีกันชนหนามากๆ รองรับความเสียหายได้เยอะ
ความสามารถในการทำกำไรสูง: ดูจาก ROTCE ที่ 21% ถือว่าเก่งมากในการสร้างผลตอบแทนจากเงินของผู้ถือหุ้น
สภาพคล่องดี: แม้ไม่ได้ลงรายละเอียดตัวเลขสภาพคล่องเป๊ะๆ แต่การที่คืนเงินผู้ถือหุ้นได้ $11 พันล้านในไตรมาสเดียว แสดงว่ามีเงินสดหมุนเวียนดีมากๆ
การตั้งสำรองเชิงรุก (Allowance for Credit Losses): มีสำรองรวม $27.6 พันล้าน และยังสร้างเพิ่มเกือบ $1 พันล้านในไตรมาสนี้ แสดงถึงความไม่ประมาท เตรียมพร้อมรับมือหนี้เสียที่อาจเพิ่มขึ้น
ความหลากหลายของรายได้: มีรายได้จากหลายทาง ทั้งดอกเบี้ย (NII), ค่าธรรมเนียม (NIR), การบริหารสินทรัพย์ (AWM), วาณิชธนกิจ (IB), ตลาดทุน (Markets) ช่วยกระจายความเสี่ยง
ข้อสังเกต:
NII ex. Markets ลดลงเล็กน้อย: รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (ไม่รวมส่วน Markets) ลดลง 2% YoY เพราะดอกเบี้ยและส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากลดลง
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น: แม้จะคุมเป้าทั้งปีได้ แต่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น 4% YoY ก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตาดู
หนี้เสีย (Net Charge-offs) เพิ่มขึ้น: โดยเฉพาะในธุรกิจบัตรเครดิต ($2.2 พันล้าน) แม้จะบอกว่าตามคาด แต่ก็เป็นตัวเลขที่สูงขึ้น
สินทรัพย์เสี่ยง (RWA) เพิ่มขึ้น: ทำให้ CET1 Ratio ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน (แม้จะยังสูงมากก็ตาม) มาจากการเติบโตของธุรกิจและปัจจัยตามฤดูกาล
โดยรวมแข็งแรงดี มีจุดเด่นเรื่องเงินทุน กำไร และการเตรียมพร้อมรับความเสี่ยง แต่ก็มีสัญญาณที่ต้องจับตาดูเรื่องแรงกดดันต่อรายได้ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่าย และคุณภาพสินเชื่อบางส่วนครับ
5. ความเสี่ยงมีอะไรบ้าง?
ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Risk): อันนี้ใหญ่สุดเลยครับ ความไม่แน่นอนสูง โอกาสเกิด Recession (เศรษฐกิจถดถอย) ซึ่งจะกระทบทั้งความต้องการสินเชื่อ คุณภาพหนี้ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม
ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการค้า (Geopolitical & Trade Risk): ความขัดแย้งระหว่างประเทศ นโยบายภาษีการค้า (Tariffs) อาจส่งผลกระทบต่อลูกค้าองค์กรที่ทำธุรกิจระหว่างประเทศ และกระทบต่อ JPM เองด้วย (Jamie Dimon ยอมรับว่า JPM อาจตกเป็นเป้าได้ - "be in the crosshairs")
ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk): หากเศรษฐกิจแย่ลง คน/บริษัทจ่ายหนี้ไม่ได้ หนี้เสีย (Charge-offs) จะเพิ่มขึ้น การตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นก็สะท้อนความกังวลนี้
ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย (โดยเฉพาะถ้ามีการลดดอกเบี้ย) จะส่งผลกระทบต่อ NII
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ (Regulatory Risk): ความไม่แน่นอนของกฎเกณฑ์ใหม่ๆ (Basel III Endgame, SLR, G-SIFI ฯลฯ) ที่อาจส่งผลต่อระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรง สภาพคล่อง และความสามารถในการทำธุรกิจบางประเภท Jamie Dimon แสดงความกังวลเรื่องนี้ค่อนข้างมากเลยครับ
ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk): แม้ไตรมาสนี้จะทำได้ดี แต่ตลาดทุนมีความผันผวนสูง หากเกิด "Bad Volatility" (ความผันผวนที่รุนแรงแต่ปริมาณซื้อขายน้อย) ก็อาจส่งผลเสียได้
ความเสี่ยงด้านการดำเนินงาน (Operational Risk): รวมถึงความเสี่ยงจากการบริหารจัดการภายใน การควบคุมค่าใช้จ่าย การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม (เช่น การทำงานจากที่บ้าน, ประสิทธิภาพองค์กร ที่ Jamie Dimon พูดถึงตอนท้าย)
6. คำพูดสำคัญจาก CEO
มีประโยคหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจนะ คือตอนที่ Jamie ตอบคำถาม Betsy Graseck จาก Morgan Stanley มันสะท้อนมุมมองและวิสัยทัศน์ของแกได้ดีมากในช่วงเวลานี้ ขอยกมาแบบยาวหน่อยนะครับ:
"เบ็ตซี่ครับ ครั้งนี้มันต่างออกไปนะ นี่คือเรื่องเศรษฐกิจโลก และโปรดอ่านจดหมายประธาน (Chairman's letter) ของผม สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมคือ โลกตะวันตกต้องจับมือกันเหนียวแน่น ทั้งด้านเศรษฐกิจและการทหาร เพื่อให้เราผ่านพ้นเรื่องทั้งหมดนี้ไปได้ และเพื่อรักษาโลกให้ปลอดภัยและเป็นประชาธิปไตยต่อไป นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด เอาจริงๆ นะ ผมแทบไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าเศรษฐกิจในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้าจะเป็นยังไง เรื่องนั้นมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอก เราจะผ่านมันไปได้... สิ่งสำคัญคือผลลัพธ์สุดท้ายต่างหาก เป้าหมายคืออะไร? เราจะไปถึงจุดนั้นได้ยังไง? ...แล้วเรื่องจีนก็เป็นประเด็นใหญ่มาก ผมไม่รู้ว่ามันจะลงเอยยังไง เราก็ต้องทำตามกฎหมายบ้านเมืองของเรา แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เราไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต"
ทำไมถึงสำคัญ? คำพูดนี้แสดงให้เห็นว่า Jamie Dimon มองไกลกว่าแค่กำไรระยะสั้น แกมองภาพใหญ่ระดับโลก ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและประชาธิปไตยในระยะยาวเป็นอันดับแรก และยอมรับว่าโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (โดยเฉพาะประเด็นจีน) ที่ไม่เคยมีมาก่อน มันสะท้อนความเป็นผู้นำที่มองสถานการณ์รอบด้านและคิดถึงผลกระทบในวงกว้าง ไม่ใช่แค่ตัวเลขในงบดุลครับ
คำถามจาก Erika Najarian (UBS) เรื่อง ความเสี่ยงเศรษฐกิจ กับ ความแข็งแกร่งของระบบธนาคาร:
คำถาม: Jamie คุณมองเศรษฐกิจข้างหน้ายังไง? และที่ Jeremy Barnum (CFO) บอกว่าระบบธนาคารจะเป็น "แหล่งของความแข็งแกร่ง" (source of strength) ในช่วงผันผวนนี้ หมายความว่ายังไง ในเมื่อตลาดหุ้นมักมองแบงก์เป็นตัวอ่อนแอเวลาเศรษฐกิจไม่ดี?
คำตอบ (สรุป): ผมย้ำว่าโอกาสเกิด Recession มันคือ 50/50 และถ้าเกิดจริง.. หนี้เสียจะเพิ่มขึ้น กำไรแบงก์จะแย่ลง หุ้นจะตก (ซึ่งแกมองเป็นโอกาสซื้อหุ้นคืน!) แต่ที่บอกว่าแบงก์แข็งแกร่ง หมายถึงฐานะการเงินที่พร้อมจะ "สนับสนุนลูกค้าเสมอ" และฝ่าวิกฤตได้ ไม่ใช่แค่เรื่องราคาหุ้น ส่วน Jeremy Barnum เสริมว่าการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น (ใช้ค่าเฉลี่ยว่างงาน 5.8% ในการคำนวณ) ก็เพื่อเตรียมรับมือความเสี่ยง แต่ยังไม่เห็นสัญญาณอันตรายในพอร์ตสินเชื่อตอนนี้
นี่เป็น 1 คำถามที่นักลงทุนกังวลที่สุด คือเรื่องเศรษฐกิจถดถอยและผลกระทบต่อธนาคาร แต่ก็แสดงให้เห็นทั้งความระมัดระวัง (ยอมรับความเสี่ยง) และความมั่นใจ (เชื่อว่ารับมือได้ครับ)
8. ★𝓐𝓓𝓜𝓘𝓝★ : มุมมองส่วนตัว
JPMorgan Chase (JPM) ยังคงเป็น ธนาคารชั้นนำระดับโลกที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งสุดๆอยู่ครับ ผลประกอบการล่าสุดก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ายังทำกำไรได้ดี มีเงินทุนหนา สามารถคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ และมีทีมผู้บริหารที่เก่งและมีประสบการณ์สูง
แต่! ก็ต้องยอมรับว่า สภาพแวดล้อมในตอนนี้มีความไม่แน่นอนสูงมาก อาจจะมีบางอย่างที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นก็ได้ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลก ภูมิรัฐศาสตร์ การค้า และกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งผู้บริหารเองก็ย้ำเรื่องนี้ตลอดการประชุม
ถ้าถามว่า ยังเหมาะลงทุนต่อไหม?
สำหรับนักลงทุนระยะยาว: ที่เข้าใจธุรกิจธนาคาร ยอมรับความผันผวนได้ และเชื่อมั่นในความสามารถของ JPM ที่จะผ่านพ้นช่วงเวลาท้าทายไปได้ ผมคิดว่า ยังน่าสนใจลงทุนเสมอ หรือทยอยสะสมก็ได้ เพราะ JPM มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูง และน่าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งขึ้นได้ในระยะยาวเมื่อพายุสงบลง ก็คือกลับมาชนะแนวต้านได้เหมือนเดิม
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น: หรือคนที่คาดหวังผลตอบแทนเร็วๆ หรือรับความผันผวนได้น้อย อาจจะต้อง พิจารณาอย่างรอบคอบ ครับ เพราะมีความเสี่ยงที่หุ้นอาจจะเจอแรงกดดันจากปัจจัยลบต่างๆ ที่ยังคาดเดาระยะเวลาไม่ได้
📍 แนวรับ : $200 หรือเสี่ยงรอ $190 และอีกที $177