เจาะลึก!! CoreWeave vs. Nebius 'หุ้น AI Infra' ที่ร้อนแรงที่สุดในตอนนี้?!

ช่วงนี้กระแสหุ้นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI กำลังมาแรง โดยเฉพาะ CoreWeave กับ Nebius ที่ถูกจับตามองสุดๆ CoreWeave กลายเป็นดาวเด่นของตลาด หุ้นขึ้นแรงกว่า +350% ตั้งแต่เข้า IPO ในปลายเดือนมีนาคม 2025 โดยมีรายได้ Q1 ของปี 2025 ถึง $982 ล้าน โตถึง +420% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากดีลใหญ่กับบริษัทอย่าง OpenAI, IBM และมีงานที่ลูกค้าสั่งไว้แต่ยังไม่ได้ส่งมอบ (backlog) มหาศาลถึง $2.59 หมื่นล้าน แถมยังเป็นหุ้นที่มีหุ้นหมุนเวียนในตลาดน้อย คือมีหุ้นที่ซื้อขายได้จริงในตลาดไม่มาก เวลาคนแห่ซื้อ ราคาก็ยิ่งพุ่งแรง

ต่างกับ Nebius ที่รายได้ Q1 ปี 2025 แค่ $55 ล้าน ยังน้อยกว่า CoreWeave หลายเท่า และยังไม่มีดีลใหญ่ซึ่ง CoreWeave เน้นลูกค้าใหญ่ๆ แค่สองเจ้าก็กินรายได้ไป 77% (Microsoft เจ้าเดียว 62%) ส่วน Nebius กระจายความเสี่ยงดี มีลูกค้ากว่า 20 อุตสาหกรรม ไม่มีรายใหญ่เจ้าเดียวแบบ CoreWeave เลยทำให้หุ้น Nebius ยังไม่ค่อยเป็นกระแสหรือโดดเด่นเท่า CoreWeave ที่ได้แรงหนุนจากกระแส AI ทั่วโลกและดีลใหญ่ๆ ที่ทุกคนจับตามอง 

ด้านโครงสร้างเงินทุน CoreWeave ใช้กลยุทธ์เร่งโตแบบกู้เงินมหาศาล 1.2 หมื่นล้าน เพื่อซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับ AI (GPU) เพื่อหวังสร้างรายได้เร็วๆ แต่ก็มีหนี้สูงถึง $6.2 พันล้าน และต้องรักษากำไรสูงเพื่อจ่ายหนี้ให้ไหว ขณะที่ Nebius เน้นโตแบบค่อยเป็นค่อยไป มีเงินสดในมือกว่า $1.45 พันล้าน โดยแทบไม่มีหนี้ และเพิ่งออกหุ้นกู้แปลงสภาพ $1 พันล้านเพื่อเสริมทุน

เรื่องกำไร CoreWeave ตอนนี้เริ่มมีกำไรจากการดำเนินงานจริงแล้ว โดย EBITDA เป็นบวก $606 ล้าน จากรายได้ $978 ล้านในไตรมาสแรกปี 2025 หรือคิดเป็นอัตรากำไร 62% ส่วน Nebius ยังขาดทุนอยู่มาก โดยขาดทุนจากการดำเนินงาน -$62.6 ล้าน และขาดทุนสุทธิ -$113.6 ล้านในไตรมาสเดียวกัน เพราะยังลงทุนซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์เต็มที่เพื่อขยายธุรกิจ แต่ผู้บริหารคาดว่าครึ่งหลังปี 2025 จะสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้

ถ้ามองอนาคต Nebius มีเงินสดเยอะ กลุ่มลูกค้าที่กำลังเจรจาหรือรอปิดการขายหลากหลาย และกำลังจะออกผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐาน AI เฉพาะทางในกลุ่มเทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลชีวภาพ, เทคโนโลยีทางการเงิน, และธุรกิจโทรคมนาคม ถ้าได้ดีลใหญ่ในอเมริกาหรือประกาศกำไรเมื่อไหร่ อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ราคาหุ้นวิ่งแรงแบบ CoreWeave ได้

หุ้น CoreWeave เหมาะกับสายชอบความเสี่ยงสูง ส่วน Nebius เหมาะกับคนชอบความมั่นคง กระจายความเสี่ยง ถ้า Nebius ทำกำไรได้จริงเมื่อไหร่ โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นจะเปิดกว้างมาก เพราะมูลค่าประเมินของบริษัทยังคงต่ำกว่าคู่แข่งเยอะ