ลองเทียบดู! จะลง Novo Nordisk (NVO) หรือ Eli Lilly (LLY) ดี?

ถ้าเรามองที่ผลประกอบการล่าสุด Eli Lilly ทำรายได้ในไตรมาส 4 ปี 2024 ได้ถึง $13.53 พันล้าน เติบโตขึ้น +44.7% เทียบกับปีก่อน ขณะที่ Novo Nordisk ทำได้ $11.95 พันล้าน เติบโต +25.13%

ทำไม Eli Lilly ถึงเติบโตเร็วกว่า? 

ก็เพราะยาตัวชูโรงอย่าง Mounjaro และ Zepbound ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่ายาของ Novo Nordisk 

แต่จุดน่าสนใจคือ Novo Nordisk มีค่า P/S ratio แค่ 8.19 เท่า ซึ่งถูกกว่า Eli Lilly ที่มีค่าสูงถึง 16.53 เท่า และยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งกว่ามากด้วยหนี้สุทธิเพียง $10.6 พันล้าน เทียบกับ Eli Lilly ที่มีหนี้สูงถึง $31 พันล้าน สำหรับนักลงทุนสายปันผล Novo Nordisk ให้ผลตอบแทนปันผลอยู่ที่ 2.33% ขณะที่ Eli Lilly ให้ปันผลเพียง 0.73% 

จุดต่างสำคัญอีกประการคือ กลยุทธ์ทางธุรกิจ Eli Lilly กระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าด้วยพอร์ตโฟลิโอที่ครอบคลุมทั้งตลาดเบาหวาน มะเร็ง ระบบประสาท และภูมิคุ้มกัน ขณะที่ Novo Nordisk มุ่งเน้นเฉพาะตลาดเบาหวานและลดน้ำหนัก ซึ่งทำให้มี EBIT margin สูงถึง 48.2% เทียบกับ Eli Lilly ที่ 38.9% ด้านการวิจัยและพัฒนา Eli Lilly มีโครงการวิจัยถึง 77 โครงการ (22 โครงการอยู่ในเฟส 3) ส่วน Novo Nordisk มี 47 โครงการ (3 โครงการอยู่ระหว่างรอการอนุมัติ, 12 โครงการอยู่ในการทดลองหลัก)

ในแง่การวิเคราะห์ทางเทคนิค หุ้น Novo Nordisk มีศักยภาพเติบโตได้อีก 57.21% จากราคาปัจจุบัน มากกว่า Eli Lilly ที่มีโอกาสเติบโตอีก 22.98% ทั้งนี้ Eli Lilly มีสัญญาณว่าราคาอาจสูงเกินจริง

สรุปว่าเมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งหมด ผมมองว่า NVO เป็นหุ้นที่น่าลงทุนมากกว่าในตอนนี้ แม้ LLY จะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า แต่ NVO มีความสมดุลที่ดีกว่าระหว่างมูลค่าที่ราคาลงมาเยอะแล้วกับศักยภาพการเติบโต และความมั่นคงทางการเงินที่ดี