ทําไม Oracle แกร่งสวนตลาด บวกต่อ +7% เมื่อวานนี้??

หลังจาก Oracle ประกาศงบไตรมาส 4 ปี 2025 ออกมาดีกว่าคาด ทั้งรายได้และกำไรต่อหุ้นสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ รายได้โต 11% อยู่ที่ $1.59 หมื่นล้าน กำไรต่อหุ้น แบบปรับปรุงแล้วอยู่ที่ $1.70 สูงกว่าที่คาดไว้ที่ $1.64 ตัวเลขนี้ทำให้หุ้น Oracle พุ่งแรงทันทีในวันพฤหัสฯ และยังขึ้นต่ออีกในวันศุกร์ แม้ตลาดเทคฯ โดยรวมจะลงก็ตาม

จุดที่ทำให้นักลงทุนตื่นเต้นจริงๆ คือ “แนวโน้มอนาคต” ที่ CEO Safra Catz ประกาศเป้ารายได้ปี 2026 ที่ $6.7 หมื่นล้าน โต 16% จากปีก่อนหน้า และคาดว่า Cloud Infrastructure จะโตถึง 70% ในปีหน้า (จาก 51% ปีนี้) ซึ่งถือว่าเป็นการเร่งเครื่องแบบชัดเจน เพราะตลาด Cloud และ AI กำลังเติบโตมหาศาล

นักวิเคราะห์สายเทคฯ หลายเจ้าก็แห่ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย เช่น Goldman Sachs อัพขึ้นเป็น $195 ส่วน BMO Capital Markets อัพเป็น $235 พร้อมปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” สิ่งนี้ยิ่งเติมไฟให้ราคาหุ้นวิ่งต่อเนื่อง

จุดเปลี่ยนสำคัญคือ Oracle ที่เคยถูกมองว่าเป็น “ไม้แก่” ในโลกไอที เพราะเข้าตลาด Cloud ช้ากว่าคู่แข่งอย่าง Amazon, Microsoft, Google แต่ตอนนี้ Oracle กลับกลายเป็น “ม้ามืด” ที่ลูกค้า AI รายใหญ่ๆ อย่าง Meta, OpenAI, xAI เลือกใช้บริการ Cloud ของ Oracle เพราะสามารถรองรับงาน AI ที่ต้องใช้ GPU หนักๆ ได้ดีมาก Oracle ยังลงทุนขยาย Data Center อย่างหนัก ปีนี้ใช้เงินลงทุนไปกว่า $2.1 หมื่นล้าน และปีหน้าจะเพิ่มเป็น $2.5 หมื่นล้าน เพื่อรองรับความต้องการสร้างศูนย์ข้อมูล

Oracle ยังมีจุดแข็งที่ผูกกับฐานลูกค้าองค์กรเดิม และปรับตัวเร็วด้วยการใส่ AI เข้าไปในทุกผลิตภัณฑ์ Cloud ของตัวเอง แถมยังให้ใช้ฟรีในหลายฟีเจอร์ ช่วยให้ลูกค้าองค์กรกล้าทดลองและขยายการใช้งาน AI บนแพลตฟอร์ม Oracle

สรุปง่ายๆ หุ้น Oracle ขึ้นแรงเพราะ

  • งบไตรมาสล่าสุดออกมาดีกว่าคาด

  • แนวโน้มรายได้ปีหน้าดูสดใส โดยเฉพาะธุรกิจ Cloud/AI ที่โตแรง

  • นักลงทุนและนักวิเคราะห์เชื่อมั่นในแผนขยาย Data Center และการเป็น “ขุมพลัง” ให้กับ AI เจ้าใหญ่ๆ

  • การอัพเกรดราคาเป้าหมายจากสำนักวิเคราะห์ชั้นนำ ส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่น

Oracle กำลังเปลี่ยนจากบริษัทซอฟต์แวร์องค์กรแบบดั้งเดิม สู่การเป็น “AI Infrastructure Provider” ตัวจริง ถ้าบริหารดี ขยาย Data Center ทันความต้องการ และรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า AI รายใหญ่ได้ต่อเนื่อง หุ้นนี้ยังมีโอกาสไปต่อในระยะกลาง-ยาว แต่ก็ต้องจับตาดูการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อื่นๆ และความเสี่ยงจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่อาจกดดันกระแสเงินสดระยะสั้นด้วยเช่นกัน