"Palantir ยิ่งโลกวุ่นวาย ยิ่งมีค่า" [[ จารย์ เชย์ ]]

ช่วงนี้หุ้น Palantir ถูกกระทบจากประเด็นสงครามภาษีที่กลับมาอีกครั้ง ทำให้ราคาร่วงลงพร้อมกับหุ้นกลุ่ม AI อื่นๆ ในแง่หนึ่งมันก็น่าหงุดหงิด เพราะจริงๆ แล้ว Palantir น่าจะได้ประโยชน์จากความวุ่นวายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ผมมองว่าจุดแข็งของ Palantir คือการสร้างซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจในสภาวะที่ข้อมูลไม่สมบูรณ์และขัดแย้งกัน ยิ่งโลกวุ่นวายเท่าไหร่ ความต้องการแพลตฟอร์มที่รวมข้อมูลกระจัดกระจายให้เป็นข้อมูลเชิงปฏิบัติก็ยิ่งมีมากขึ้น คุณไม่ได้ต้องการแค่แดชบอร์ดธรรมดา แต่ต้องการ AI ที่สามารถคิดวิเคราะห์และจำลองสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Palantir

อัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่ลดลงทำให้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่มีความคุ้มค่ามากขึ้น เรากำลังเข้าสู่ช่วงที่ต้นทุนเงินทุนกำลังลดลงขณะที่แรงกดดันให้ปรับปรุงโครงสร้างการดำเนินงานกำลังเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะกับ Palantir ไม่เฉพาะในด้านการป้องกันประเทศ แต่รวมถึงในภาคการผลิตและโลจิสติกส์ด้วย แม้ลูกค้าต่างประเทศอาจลังเลที่จะซื้อซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ แต่ความจริงคือ พวกเขาไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า ไม่มีบริษัทไหนที่มีแพลตฟอร์ม AI ระดับองค์กรที่ครอบคลุมทั้งความสามารถ การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และความโปร่งใส ซึ่ง SAP หรือ Oracle เองก็ยังตามไม่ทัน

จุดเปลี่ยนสำคัญคือ Palantir ไม่ใช่แค่บริษัทโมเดล AI แต่เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญการนำ AI ไปใช้งานจริง ขณะที่โมเดล AI กำลังกลายเป็นสินค้าทั่วไป ข้อได้เปรียบของ Palantir คือโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้โมเดลเหล่านั้นใช้งานได้จริง ปลอดภัย และขยายขนาดได้ ทางด้านการเงิน Palantir ผ่านจุดเปลี่ยนสำคัญแล้ว โดยมีกำไรตามมาตรฐาน GAAP และมีอัตรากระแสเงินสดอิสระที่ 44% ธุรกิจเชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ เติบโตกว่า +60% เมื่อเทียบกับปีก่อน ลูกค้า 20 รายแรกสร้างรายได้เฉลี่ย $65 ล้าน แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่โครงการทดลองขนาดเล็ก

ผมยังเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของ Palantir อย่างมาก แม้ราคาหุ้นอาจผันผวนในระยะสั้น แต่ผมไม่รีบเพิ่มตำแหน่ง เพราะมีสัดส่วนการลงทุนที่มากพออยู่แล้วตั้งแต่ราคาต่ำกว่า $10 การปรับฐานครั้งนี้เป็นเพียงการเตือนว่า เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่จะกำหนดโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรในทศวรรษหน้า!