เกมพลิก! TSMC "เท" ญี่ปุ่น!! หันหัวเรือทุ่ม $100,000 ล้านในสหรัฐฯ!!

ช่วงนี้ใครติดตามข่าววงการชิปต้องสะดุ้งกันหน่อย เพราะ TSMC หรือ Taiwan Semiconductor บริษัทเบอร์หนึ่งของโลกด้านการผลิตชิป กำลังเปลี่ยนเกมครั้งใหญ่! เดิมที TSMC วางแผนจะสร้างโรงงานแห่งที่สองในญี่ปุ่น (Kumamoto) ด้วยงบลงทุนรวมกว่า $20,000 ล้าน ญี่ปุ่นเองก็ใจป้ำ สนับสนุนเงินช่วยเหลือไปกว่า $8,000 ล้านเลยทีเดียว แต่ล่าสุด TSMC กลับประกาศเลื่อนโปรเจกต์นี้ออกไปแบบไม่มีกำหนด โดยให้เหตุผลเรื่อง “การจราจรติดขัด” ในพื้นที่ ซึ่งฟังดูเบาๆ แต่เบื้องหลังจริงๆ คือแรงกดดันจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่ขู่จะเก็บภาษีชิปนำเข้าหนักถึง 25% หรือมากกว่านั้นในยุคประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้ TSMC ต้องรีบหันหัวเรือมาลงทุนในอเมริกาแทน

แผนใหม่ของ TSMC คือทุ่มเงินเพิ่มอีก $100,000 ล้านในสหรัฐฯ รวมกับของเดิมจะกลายเป็น $165,000 ล้าน ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การลงทุนต่างชาติของอเมริกาเลยทีเดียว! เงินก้อนนี้จะใช้สร้างโรงงานผลิตชิปใหม่อีก 3 แห่ง, โรงงานประกอบขั้นสูง 2 แห่ง และศูนย์วิจัยขนาดใหญ่ในรัฐแอริโซนา คาดว่าจะสร้างงานก่อสร้างกว่า 40,000 ตำแหน่งใน 4 ปีข้างหน้า และยังตามมาด้วยงานสายเทคโนโลยีระดับสูงอีกเพียบ

เหตุผลหลักที่ TSMC ต้องรีบขยายโรงงานในสหรัฐฯ ก็เพราะลูกค้าหลักอย่าง Apple, NVIDIA, AMD, Broadcom และ Qualcomm ต่างต้องการความมั่นใจเรื่องซัพพลายชิป ไม่อยากเสี่ยงกับปัญหาซัพพลายเชนที่เคยเกิดช่วงโควิด-19 อีกแล้ว ไหนจะนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่แจกเงินอุดหนุนผ่าน CHIPS Act เพื่อดึงดูดผู้ผลิตชิปให้มาตั้งฐานในประเทศอีกด้วย

ส่วนฝั่งญี่ปุ่น แม้จะผิดหวังแต่รัฐบาลยังยืนยันว่าเป้าหมายการผลิตและกำหนดการเปิดโรงงานแห่งที่สองยังเหมือนเดิม (แต่ก็ยังไม่มีใครกล้ายืนยันวันชัดๆ) ขณะที่ฝั่งไต้หวันเองก็ต้องคอยจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะถ้า TSMC ย้ายฐานการผลิตชิปขั้นสูงออกนอกประเทศมากเกินไป อาจกระทบต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยีของไต้หวันเอง

สำหรับราคาหุ้น TSMC เมื่อวานนี้ อยู่ที่ $229.17 ปรับตัวลงเล็กน้อยในช่วงที่ข่าวนี้ออกมา ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของตลาดที่มักจะกังวลกับความไม่แน่นอนของแผนลงทุนขนาดใหญ่แบบนี้

การที่ TSMC ทุ่มเงินมหาศาลในอเมริกาเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ถ้ามองในแง่บวก บริษัทจะได้ใจลูกค้าใหญ่ในสหรัฐฯ และลดความเสี่ยงเรื่องภาษี-ซัพพลายเชน แต่ก็ต้องแลกกับต้นทุนที่สูงขึ้นและแรงกดดันจากรัฐบาลไต้หวันที่ไม่อยากให้เทคโนโลยีสำคัญไหลออกนอกประเทศมากเกินไป เพื่อนๆนักลงทุนควรจับตาดูความคืบหน้าของโครงการในอเมริกา และผลกระทบต่อกำไรระยะยาวของบริษัท เพราะนี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมชิปโลกจริงๆ