• ลงทุนหุ้นอเมริกา
  • Posts
  • ทําไม VKTX 'ขาดทุนยับ' แต่ผมยัง'เชื่อมั่น'?? นับถอยหลังสู่จุดเปลี่ยนสําคัญ!!

ทําไม VKTX 'ขาดทุนยับ' แต่ผมยัง'เชื่อมั่น'?? นับถอยหลังสู่จุดเปลี่ยนสําคัญ!!

ผมรู้ว่าผลประกอบการของหุ้น VKTX อาจจะยังดูไม่ดีเท่าไหร่ในตอนนี้ ทั้งขาดทุนที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แถมบริษัทยังไม่มีรายได้เข้ามาเลยด้วยซ้ำ แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องพวกนี้ยังไม่มีความสำคัญในระยะสั้น เพราะอนาคตของหุ้นตัวนี้ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์สำคัญเพียงอย่างเดียวที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งผลลัพธ์นี้สามารถชี้ชะตาและเปลี่ยนมูลค่าของบริษัทไปได้อย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว

คนที่ซื้อหุ้น VKTX ไม่ได้มองที่ผลกำไรในวันนี้ แต่มองไปที่โอกาสครั้งใหญ่ว่ายารักษาโรคอ้วนที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ ทั้งแบบฉีดและแบบกิน (GLP-1) จะประสบความสำเร็จและทำให้บริษัทกลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในตลาดนี้ได้หรือไม่? ซึ่งตัวที่จะชี้วัดอนาคตก็คือ ผลการทดลองยารูปแบบกินในเฟสที่ 2 ที่กำลังจะประกาศออกมา ถ้าผลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่ายาสามารถลดน้ำหนักได้ใกล้เคียงกับตัวเลข 8% ที่เคยทำได้ในการทดลองเฟสแรก แถมยังมีผลข้างเคียงน้อยมาก ตลาดก็จะต้องประเมินมูลค่าของ VKTX ใหม่ทั้งหมด จากหุ้นตัวเล็กๆ ก็จะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวทันที เพราะมีทั้งยาฉีดและยากินที่กำลังจะเข้าสู่การทดลองในเฟสสุดท้ายแล้ว

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ถึงแม้บริษัทจะเพิ่งประกาศว่าใช้เงินไปกว่า $100 ล้านในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา แต่ราคาหุ้นกลับไม่ได้ร่วงลงเลย นั่นก็เพราะว่าตลาดเริ่มจะเชื่อมั่นในตัวบริษัทแล้ว ด้วยความคืบหน้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยาแบบฉีดที่เข้าสู่การทดลองเฟส 3 แล้ว ยาแบบกินก็ได้ผู้เข้าร่วมทดลองครบแล้ว แถมบริษัทยังแอบบอกใบ้อีกว่า อาจจะพัฒนายาแบบกินให้เหลือแค่เดือนละครั้ง ซึ่งจะสะดวกกับคนไข้มากๆ บวกกับตอนนี้ VKTX มีเงินสดในมือกว่า $800 ล้าน และยังเซ็นสัญญาการผลิตเชิงพาณิชย์ไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า VKTX ไม่ได้มาเล่นๆ แต่ตั้งใจมาเพื่อเป็นผู้ชนะในสนามนี้

แน่นอนว่า เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกลและจะมีความผันผวนของราคาอยู่เรื่อยๆ แต่เมื่อเราพูดถึงบริษัทที่มีมูลค่า $4 พันล้าน และมีโอกาสจริงๆ ที่จะสร้างยารักษาโรคอ้วนที่ดีที่สุดในตลาด แถมยังมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งพอที่จะไปให้ถึงฝันได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องพยายามซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำที่สุดก็ได้ ขอแค่ถือหุ้นไว้ให้ทันในวันที่เรื่องราวทั้งหมดพลิกกลับมาเป็นบวกก็พอ และถ้าผลการทดลองออกมาดีเกินคาด กลุ่มนักลงทุนที่เดิมพันว่าหุ้นจะตก (สาย Shorts) ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 25% ก็อาจจะต้องรีบกลับมาซื้อหุ้นคืนจนราคาพุ่งสูงขึ้นไปอีกก็เป็นได้